ช่วง “เวลา” และแรงผลักดันของการเติบโต กับ “แมน” ธฤษณุ สรนันท์

ช่วงเวลาได้นำพาชีวิตของ แมน-ธฤษณุ สรนันท์ / พีเค-พัสกร วรรณศิริกุล / และ ดารัณ- เศรษฐณิช ชนวราสุทธิศิริ ให้กลายเป็นที่รู้จัก ผ่านเวทีการประกวดอันเป็นที่จับจ้องจากสายตาของคนทั้งประเทศ และยังคงเป็นเวลาอีกนั่นเองที่ได้ชักพาผลักดันให้พวกเขาเติบโตขึ้นภายใต้ภาวะต่าง ๆ ของการทำงานในวงการบันเทิง ผ่านความเศร้า ความสุข รอยยิ้ม และคราบน้ำตา Mellow Issue อาสาที่จะพาไปเผชิญหน้าและรู้จักกับแง่มุมต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเวลาแห่งการประสบความสำเร็จของคนทั้งสาม

 

วัยเด็กของแมน?
MAN :
 
ผมเป็นลูกคนเดียวครับ ตอนเด็ก ๆ เป็นเด็กที่ชอบฟุตบอล มีความฝันว่าอยากจะเป็นนักฟุตบอล ก็เลยทำให้ต้องซ้อมฟุตบอลหนักมาก เล่นฟุตบอลโรงเรียน เล่นฟุตบอลสโมสร เคยเล่นอยู่ที่สโมสรธำรงไทย แล้วก็ย้ายไปฝึกกับการท่าเรือประมาณหนึ่งปี ก่อนที่จะย้ายไปเรียนเดนมาร์กตอนม.ปลาย

ช่วงเวลาประทับใจในวัยเด็ก?
MAN : จริง ๆ ตอนเป็นเด็กผมรู้สึกชอบทุกช่วงเวลาเลยนะ มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากโดยเฉพาะช่วงม.ต้น มีเพื่อนที่ดี จำได้ว่าชอบไปโรงเรียนมาก เป็นช่วงเวลาที่มีแต่เสียงหัวเราะ อยู่กับเพื่อน กับแก๊งค์ ได้เล่นฟุตบอล ผมค่อนข้างจะเอ็นจอยกับทุกช่วงเวลามาก ๆ

มีความสุขกับชีวิตในโรงเรียนไทย ทำไมถึงเลือกย้ายไปเรียนที่เดนมาร์ก?
MAN : พ่อกับแม่อยากให้ผมลองไปอยู่ที่เดนมาร์กบ้าง เพราะผมเป็นลูกครึ่งเดนมาร์กที่มาอยู่เมืองไทย ทุกคนก็คิดว่าการไปอยู่ที่นั่นบ้างน่าจะเป็นผลดีกับผม ตอนไปแรก ๆ ผมก็คิดว่าน่าจะดี แต่พอไปเจอจริง ๆ ชีวิตมันก็ไม่ได้ง่าย ผมยังงง ๆ อยู่ เลยต้องอาศัยเวลาในการปรับตัว แต่สุดท้ายการไปอยู่ที่นั่นมันกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่หล่อหลอมอะไรหลาย ๆ อย่างให้ผมกลายเป็นผมในแบบที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีคิด มุมมอง การใช้ชีวิต วัยรุ่นที่นั่นค่อนข้างมีเสรีภาพและค่อนข้างเปิดรับความคิดของทุก ๆ คน ทุกคนค่อนข้างเท่าเทียมกัน กฎระเบียบแบบเมืองไทยที่เคร่งครัดไม่ค่อยมี เขาค่อนข้างจะ Treat เราเหมือนเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ แล้วก็ไม่ค่อยคุยกันเรื่องงานเท่าไหร่ เขาจะคุยกันเรื่องงานอดิเรกมากกว่า เพื่อให้เห็นว่าชีวิตของแต่ละคนสนใจและทำอะไรกัน

ปรับตัวยากแค่ไหนกับการต้องไปอยู่เดนมาร์ก?
MAN : ตอนไปก็ปรับตัวยากนะครับ จำได้ว่าผมคิดถึงบ้านมาก คิดถึงครอบครัว คิดถึงเพื่อน คิดถึงอาหาร แต่พอเริ่มปรับตัวได้มันก็โอเค แต่ในใจผมก็รู้ตลอดแหละว่าผมอยากอยู่ที่นี่(ประเทศไทย) แล้วก็รู้ว่าวันนึงผมก็จะต้องกลับมา  มันก็เลยทำให้เราเผชิญหน้ากับช่วงเวลาต่าง ๆ ตรงนั้นได้และพยายามเอนจอยกับมัน

ความแตกต่างระหว่างชีวิตในสองประเทศ ชอบเวลาที่อยู่ประเทศไหน?
MAN : ผมชอบเมืองไทยมากกว่า แต่บางทีผมก็แอบคิดถึงช่วงเวลาที่โน่น เวลากลับไปเยี่ยมเพื่อนเยี่ยมครอบครัว มันก็มีอีกด้านที่มีความสงบ ความเงียบ ความเรียบง่าย สบาย ๆ Relax แบบออกไปทำงาน กลับบ้าน ทำอาหาร ทำอะไรอร่อย ๆ กิน นอน ผมมีความรู้สึกว่าช่วงเวลาเหล่านั้นผมไม่ได้คิดเยอะ ตอนนั้นผมอายุแค่ 16-17 แต่ได้ใช้ชีวิตเหมือนผู้ใหญ่แล้ว คือเราเช่าห้องอยู่ มีงานทำ เรียนหนังสือ มีความรับผิดชอบ บริหารเงินเอง เราดูแลตัวเองได้ ผมคิดถึงช่วงเวลานั้นที่ทุกอย่างมัน Simple มาก ๆ ดูจบแบบง่าย ๆ ลงตัว จบในตัวของมันเอง แต่ตอนนี้ที่อยู่เมืองไทย ผมยังหาล็อคแบบนี้ไม่เจอ ก็เลยคิดถึงความเรียบง่ายตรงนั้น แต่อาจเพราะชีวิตเราโตขึ้นด้วย มันทำให้เรามองอะไรไม่เหมือนเดิม แต่ไม่ใช่ว่าผมมองว่าเมืองไทยไม่ดีนะ ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็คงไม่เลือกกลับมา มันก็คงเป็นเหมือนทุก ๆ ประเทศแหละเมืองไทยก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทั้งในด้านที่ดี และด้านที่ไม่ดีด้วยพร้อม ๆ กัน

 

ถ้าต้องพูดถึงช่วงเวลาที่ท้าทาย หรือช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับแมนคือเวลาไหน?
MAN : ผมเคยไปเป็นทหารอยู่ปีนึง โดนใบแดง ไปเป็นทหารบก ที่ ปตอ. พัน7 ดอนเมือง ตอนนั้นเหนื่อยมาก คือเป็นเวลาที่ผมมองว่ายากลำบากพอสมควรเลย ก่อนจะเข้าไปทุกคนก็จะคอยบอกว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น จะเป็นแบบนี้ ทำให้ไม่อยากเข้าไป พอไปอยู่จริง ๆ เราก็คิดว่าเมื่อไหร่มันจะผ่านไปซักที ตอนนั้นคือผมนับวันรอเลยว่า เมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน เมื่อไหร่จะได้เยี่ยมญาติ เมื่อไหร่จะได้กินอาหารอร่อย เพื่อน ๆ ก็นับวันรอที่ผมจะออกจากค่ายเหมือนกัน มีเพื่อนคนนึงบอกผมว่า “สุดท้ายไม่มีใครหยุดเวลาได้หรอก” ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากแค่ไหน เหนื่อยแค่ไหน เวลามันก็จะผ่านไป ตอนเป็นทหารเขาจะชอบพูดกันว่า “เดี๋ยวก็วันใหม่แล้ว” ไม่ว่าวันนี้มันจะเหนื่อย จะยากลำบากซักแค่ไหน เดี๋ยวตื่นมาพรุ่งนี้ก็จะเจอวันใหม่แล้ว

เรียนรู้อะไรจากช่วงเวลาเหล่านั้นบ้าง?
MAN : เรียนรู้เยอะนะ เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง เกี่ยวกับมนุษย์ มันได้เห็นว่าเพื่อนแท้เป็นยังไงเมื่อลำบากด้วยกัน เมื่อต้องเจอกับความทรมาน เหนื่อย ง่วง หิว เรียนรู้ที่จะมีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ เวลาอยู่ข้างนอกผมสามารถเดินเข้าเซเว่นไปหาซื้อช็อคโกแลตกินโดยที่ไม่เคยเห็นค่าของมันเลย แต่พอต้องอยู่ในค่ายกินอาหารในค่ายมันแตกต่างมาก ๆ มันทำให้ผมเห็นค่าของสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรามองข้ามเวลามีมันอยู่ แค่การได้อาบน้ำนานขึ้น ทำอะไรที่ไม่ต้องรีบเร่ง บางครั้งการอยู่เฉย ๆ แค่ 5 นาทีก็ยิ้มได้แล้ว มันสอนผมว่าคนเราปรับเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้หมดแหละ และก็มีความสุขกับความทุกข์ได้ในทุกสิ่งแวดล้อมด้วย

ช่วงเวลาที่เปลี่ยนชีวิตของแมน?
MAN : ผมว่าเป็นช่วงที่อยู่เดนมาร์ก ไปอยู่ต่างประเทศครับ จริง ๆ ก็หลายช่วงเวลานะ ไปอยู่เดนมาร์กก็ฟอร์มความคิดได้เยอะ ฟอร์มความรับผิดชอบ ตอนเป็นทหาร ก็ฟอร์มความอดทน ทุกช่วงเวลาก็สอนอะไรเราหลาย ๆ อย่าง

เวลาที่ตกหลุมรักแมนเป็นคนแบบไหน?
MAN : ผมไม่ค่อยกล้าแสดงออก เป็นคนมีฟอร์มของตัวเอง ก็เป็นคนบอกนะ ไม่ได้เก็บความรู้สึกเอาไว้ แต่จะมีฟอร์มมีเชิง ไม่ได้บอกร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อก่อนผมจะชอบคนง่ายกว่านี้ แต่พอแก่ขึ้นผมว่าผมชอบคนยากขึ้น อาจจะชอบที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่พอคุยแล้วถ้าไม่ใช่ก็อาจจะหมดความชอบไป เวลาที่ตกหลุมรักใครซักคนก็มักจะนึกถึงคนคนนั้นตลอด ไปที่ไหนทำอะไรก็จะนึกถึง

“ผมคิดถึงช่วงเวลานั้นที่ทุกอย่างมัน Simple มาก ๆ ดูจบแบบง่าย ๆ ลงตัว จบในตัวของมันเอง แต่ตอนนี้ที่อยู่เมืองไทย ผมยังหาล็อคแบบนี้ไม่เจอ”

ดูเป็นคนยิ้มเก่ง มีเสน่ห์ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย จริง ๆ แล้วเวลาอยากรู้จักกับใครซักคนแมนเริ่มต้นยังไง?
MAN : ถ้าชอบใครผมไม่ค่อยกล้าคุยกับเขาครับ บางทีต้องรอจังหวะที่มันใช่จริง ๆ ก็อาจจะเข้าไปพูดอะไรด้วย แล้วถ้าเขาตอบโต้ก็อาจจะทำให้มันไปต่อได้

ในฐานะที่เติบโตทั้งในไทยและเดนมาร์ก ในมุมมองของแมน อะไรคือสิ่งที่อยากเห็นในประเทศไทย อะไรคือสิ่งที่เด็กไทยยังขาด?
MAN : ผมว่าภาษาเป็นเรื่องนึงที่สำคัญ ภาษาอังกฤษยังเป็นสิ่งที่เด็กไทยขาดอยู่ แล้วก็เรื่องของการเลี้ยงดูที่แตกต่าง ในแง่นึงความคิดและความรับผิดชอบของเด็กไทยก็โตช้ากว่าเด็กฝรั่ง บางทีผมก็คิดอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ แต่พอมองย้อนไปผมก็มองว่าบางทีสิ่งที่เป็นอยู่มันก็เป็นเสน่ห์ของมันอยู่แล้วนะ ผมแค่คิดว่าถ้าเด็กไทยมีความคิดเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ ใช้ภาษาได้ดีกว่านี้ เราอาจจะได้เห็นเด็กไทยในเวทีใหญ่ ๆ ในเวทีนานาชาติมากขึ้น

งานในวงการบันเทิงมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ต้องทำ สำหรับแมนแล้วจัดการ “เวลา” ยังไงให้มีค่าที่สุด?
MAN : สำหรับงานละครแล้วผมจะต้องให้เวลาตัวเองในการทำความเข้าใจกับบทบาท ต้องใช้เวลากับตรงนี้เยอะ ผมไม่อยากจะไปถึงหน้าฉากแล้วไม่ได้เตรียมไป ต้องเตรียมตัวที่จะอ่าน ที่จะทำความเข้าใจกับงานที่จะทำก่อน ถ้าไม่ได้เตรียมไปผมจะรู้สึกไม่ดี ไม่มั่นใจ นอกเหนือจากนั้นผมก็จะมีเวลาให้กับตัวเอง ให้กับการดูแลตัวเองออกกำลังกาย การดูแลครอบครัว เจอเพื่อน ทานข้าว ผมชอบที่จะแบ่งเวลาให้มันบาล้านซ์ที่สุดกับทุก ๆ อย่าง อยากให้ชีวิตกับงานมันสมดุลกัน

ช่วงเวลาต่อไปในอนาคตของแมน?
MAN : ถ้ายังมีคนจ้างผมก็คงจะโฟกัสกับงานในวงการไปก่อน เก็บเงินไปก่อน ผมยังไม่ได้แพลนไว้มาก แต่ถ้ามีโอกาสในอนาคตก็อาจจะอยากทำธุรกิจอะไรซักอย่าง

มีความฝันอื่นที่อยากทำอยู่รึเปล่า ได้ยินว่ารักฟุตบอลมาก ถ้าสโมสรฟุตบอลในไทยติดต่อมาจะให้ความสนใจมั้ย?
MAN : (หัวเราะ) คงไม่ทันแล้วครับ ตอนผมกลับมาใหม่ ๆ ผมเคยไปคัดนะ ไปคัดกับทีมยาสูบ เพราะว่ามีลุงคนนึงที่คอนโดเขาเหมือนรู้จักที่นั่นแล้วแนะนำให้ผมไป เพราะเขาเห็นผมสูง เขาสามารถผลักดันได้ พอไปคัดแล้วผมรู้สึกว่าผมตามเด็กรุ่นใหม่ไม่ทันแล้ว ผมรู้สึกว่าเด็ก 17-18 ตอนนี้เก่งมาก เหมือนผมหายไปนานด้วยประมาณ 4-5 ปี ซึ่งผมก็เสียดายนะ ผมรู้สึกว่าถ้าผมได้เล่นต่อเนื่องผมน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ว่าสำหรับผมฟุตบอลก็ยังคงเป็นความสุขเสมอ ผมหวังว่าชาติหน้าผมจะได้เป็นนักฟุตบอล(หัวเราะ)

ฝากอะไรถึงคนที่ติดตามหน่อย?
MAN : ก็ขอบคุณมากครับที่ติดตาม อยากให้ช่วยเป็นกำลังใจให้กันต่อไป ขอฝากผลงานถ่ายแบบของผมด้วยละครับ แล้วก็งานละครที่กำลังมีในปีหน้า จะเป็นละครบู๊แอคชั่น ขอบคุณมากครับ

รอยยิ้มกว้างและเสน่ห์อันสดใสของแมนเป็นเพียงใบเบิกทางเข้าสู่วงการบันเทิงของเขา แต่ในความเป็นจริงเบื้องหลังภาพเหล่านั้นซ่อนไว้ด้วยความสามารถและทัศนคติอันงดงามที่ไม่แตกต่างกัน

ติดตาม MAN ได้ที่
IG : mantrisanu.s

“สุดท้ายไม่มีใครหยุดเวลาได้หรอก” ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากแค่ไหน เหนื่อยแค่ไหน เวลามันก็จะผ่านไป


Special thanks : Swatch

https://www.swatch.com/th_th/

Credits
Model : Man Trirsanu Soranan
Photographer : Patarit Pinyopiphat
Stylist : Salalee Sombutmee
MUA & Hair : Chawalit Chumsiri
Fashion Producer : Sunicha Suparat
Photographer’s Assistant :Sithipong TiyawarakulApiwat Netbood, Praweena Fangrew
Text : Thima Maipang

*Model wears
1.) 
TAKEO KIKUCHI
2.) Dr.martens 
ALL FROM PRF