จากเด็กหนุ่มขี้อายสู่นักแสดงวัยรุ่น ที่คนพูดถึง “โมสต์” วิศรุต หิมรัตน์

จากความสำเร็จของละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ถือเป็นการการสร้างความมั่นใจอย่างมากให้กับ “โมสต์ วิศรุต หิมรัตน์” จากเด็กหนุ่มขี้อายไร้ความมั่นใจ สลัดความอาย ปลุกปั่นความกล้า สร้างพัฒนาการสู่นักแสดงมากฝีมือ กระทั่งมีชื่อเสียงจนคนไทยทั่วประเทศต่างรู้จักและพูดถึงอย่างคับคั่ง ถือเป็นก้าวสำคัญของความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ แต่เขาไม่หยุดให้กับความสำเร็จเพียงเท่านี้ พร้อมก้าวเดินตามหาความฝันของตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ช่วงชีวิตวัยเด็กของโมสต์?
MOST : เป็นเด็กขี้อาย ดื้อเงียบ ตอนเด็กๆ ชอบปั่นจักรยานและต่อเลโก้มาก ตอนโตก็ยังชอบอยู่ครับ และด้วยผลพวงจากความดื้อในวัยเด็ก มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ตัวเองเจ็บและเป็นแผลเป็นติดตัวจนถึงทุกวันนี้ เพราะวิ่งเล่นจนชนตู้ ตอนนั้นรู้สึกเจ็บมากเลย แต่มันก็ไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไหร่ (หัวเราะ)


จากเด็กขี้อายเข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร?
MOST : เริ่มแรกประกวดดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ลปี 2009 เป็นก้าวแรกที่ทำให้เราเข้าสู่วงการ หลังจากประกวดเสร็จปล่อยว่างไปสักพักประมาณ 2 ปี ระหว่างนั้นก็เป็นศิลปินฝึกหัดที่แกรมมี่ และเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะศิลปกรรมศาสตร์ พร้อมทั้งประกวดน้องใหม่ของค่าย Broadcast และเริ่มเล่นละครตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

เลยทำให้เรามีความมั่นใจขึ้นไหม?
MOST : จากเด็กขี้อายตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังขี้อายอยู่ แต่พอเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ได้เรียนการแสดงทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า การแสดงนั้นคืออะไร อาการขี้อายก็ค่อยๆ หาย กระทั่งชินกับนักแสดงในวงการเพิ่มมากขึ้น พอถึงเวลาเข้าฉากการแสดงต่างๆ นับ 5…4…3…2 ก็หาย แสดงบทละครเสร็จก็กลับมาอายเหมือนเดิม ขณะที่พี่คุยกับผม ผมก็ยังรู้สึกอายๆเลยครับ เป็นคนขี้ประหม่า รนๆ รกๆ คือมันยังมีเหลืออยู่ และต้องรักษา (หัวเราะ) 

 

มีผลงานการแสดงอะไรบ้าง?
MOST : เรื่องแรกคือ น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ครับ คนรู้จักผมจากผลงานนี้เลย หลังจากนั้นก็ได้เล่นซิทคอมกับ Broadcast ชื่อเรื่องว่ารักจัดเต็ม แล้วก็ได้เล่นละครรับเชิญจาก Broadcast เรื่อยๆ แต่ถ้าให้พูดถึงผลงานทั้งหมดก็จะมี
– น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ รับบท ภูผา
– รักจัดเต็ม รับบท ก้านยาว
– บางระจัน รับบท อูทิน (วัยรุ่น)
– กลกิโมโน รับบท เริงตะวัน (รับเชิญ)
– สัมผัสพิศวง ตอน น้ำตาสายเลือด รับบท จิตต์
– Water Boyy รักใสใส วัยรุ่นชอบ รับบท กานต์
– ขวัญผวา Deadtime Stories รับบท เก๋ง
– บุพเพสันนิวาส รับบท จ้อย
– Love Songs Love Series ตอน เรือเล็กควรออกจากฝั่ง รับบท วิง

 

ประทับใจผลงานการแสดงชิ้นไหนมากที่สุด?
MOST : จริงๆ ผมประทับใจผลงานทุกชิ้นนะครับ แต่ถ้าจะให้หยิบยกขึ้นมาว่าเป็นผลงานชิ้นไหน น่าจะเป็นละครที่ฉายวันหยุดนักขัตฤกษ์ ซึ่งผมได้เล่นกับพี่ใหม่ผู้กำกับบุพเพสันนิวาส ชื่อละครว่า “สัมผัสพิศวง” ตอน “น้ำตาสายเลือด” เป็นเรื่องที่ประทับใจก็เพราะผมได้ปล่อยของอย่างเต็มที่ สนุก และมันส์มาก เรียกได้ว่า ต้องโชว์ฝีมือ ใช้อารมณ์ ในการแสดงบทบาทของตัวละครออกมาอย่างสุดความสามารถ จนผมรู้สึกกดดัน เครียดๆ ปวดท้องเลย พอละครออกฉายแล้วผลลัพธ์กลับมาดีที่สุดที่เคยทำมาครับ และล่าสุดคือผลงานจากละครบุพเพสันนิวาสรับบทเป็น “จ้อย” ซึ่งเป็นผลงานที่ผมประทับใจไม่แพ้กันเลย เรตติ้งละครถือว่าดีมากๆ จนทำให้ผมกลายเป็นนักแสดงที่มีคนพูดถึงมากขึ้น ประสบความสำเร็จเพิ่มไปอีกขั้น

หลังจากเล่นละครบุพเพสันนิวาสมีแฟนคลับรู้จักในนามของจ้อยมากขึ้นรู้สึกอย่างไรบ้าง?
MOST : รู้สึกดีครับ ได้สัมผัสประสบการณ์ความดัง (หัวเราะ) แต่ก่อนหน้านี้ก็มีคนรู้จักนะครับ แต่ก็รู้สึกยังไม่ใช่จุดชี้ว่าไปไหนใครก็รู้จักหรือถูกจับตามอง พอมาเล่นเรื่องนี้ถือว่าได้สัมผัสประสบการณ์ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง

 

ยากไหมกับบทบาทจ้อย?
MOST : ยากครับ ตอนแรกคิดว่าไม่ยาก บทพูดไม่ค่อยมี พอเอาเข้าจริงๆ ผมเป็นคนขี้เกียจนะครับ สุดท้ายแล้วต้องทำการบ้านเพื่อทำความเข้าใจกับบทละครให้มากขึ้น คิดว่าการเล่นเป็นบ่าวในบริบทที่ไม่ใช่ปัจจุบันมันต้องทำความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็เล่นไม่ได้

 
ถึงไม่มีบทพูดเยอะ พอผลงานออกมาบทของจ้อยเด่นเลยน้า..!!
MOST : อ่า… ตอนแรกคิดว่าบทง่าย คงไม่มีผลอะไรต่อเส้นเรื่อง เอาเข้าจริงๆ เราจะไปนั่งเฉยๆ ไม่ได้ เนื้อเรื่องของละครคือย้อนกลับไปสมัยอดีต ความเป็นบ่าวมันต่างกับนิสัยเราในยุคเด็กสมัยใหม่นี้มาก เพราะฉะนั้นต้องทำการบ้านและทำความเข้าใจมากพอสมควร
ละครเรื่องบุพเพสันนิวาสเหมือนปลุกกระแสละครไทย แล้วคิดว่าเสน่ห์ของละครเรื่องนี้มาจากไหน?
MOST : ผมคิดว่าเสน่ห์ของละครเรื่องนี้ไม่เหมือนละครย้อนยุคทั่วไปที่แบบมีการแย่งชิง มีการสู้รบ หรือมีความเข้มข้นแต่อันนี้ค่อนข้างสนุก ดูแล้วไม่หนักสมอง แต่ผมก็คิดว่า ผู้ชมชอบเสน่ห์ตรงนี้ที่มีการเชื่อมโยงตัวเองกลับตัวพี่เบลล่า ซึ่งพี่เบลล่าก็เหมือนตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ถูกย้อนไปในอดีต แล้วภาษาของตัวละครผสมสำนวนของคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเห็นจากละครย้อนยุคอื่นๆ เป็นละครเชิงก้ำกึ่งเอาเรื่องสมัยใหม่ไปพูดในสมัยเก่าผสมผสานกันไป 

ตัวละครทุกตัวในละครเรื่องบุพเพสันนิวาสเรียกได้ว่าดังแทบทุกบทบาท ทั้งบ่าว พระราชา รวมไปถึงไก่ของจ้อย ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนั้น?
MOST : น่าจะเป็นเพราะว่า ปัจจุบันเราในอยู่ยุค 4.0 มี Social Network พอละครออกฉายมีรายละเอียดต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์และน่าสนใจคนดูก็จะเอามาพูดกัน และแชร์ต่อๆ กันไปเร็วมาก เช่น ท่าทำปากเปะของพี่เบลล่า หรือยิ้มนิดเดียวก็ถูกพูดถึง เลยเกิดกระแสขึ้นมาและพูดต่อกันกระจายไปเลยเรื่อยๆ ตลอดจนทำให้คนเริ่มมาติดตามรายละเอียดของละครบุพเพสันนิวาสเพิ่มมากขึ้น

 

ถ้าให้เราย้อนยุคไปได้จริงๆ เราอยากทำอะไร และที่ไหน?
MOST : ผมอยากจะ…เอาเพลงสมัยนี้ไปขายก่อนที่ศิลปินตัวจริงจะเกิด สงสัยคงดังมากเลยครับ แล้วอยากไปยุคไหนดี? ขอซักยุค 80 ก็ได้หลายเพลงแล้วนะ (หัวเราะ)

ตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร กลายเป็นนักแสดงและมีคนพูดถึงเพิ่มมากขึ้น?
MOST : รู้สึกดีครับ ทำอะไรก็มีความมั่นใจมากขึ้น อย่างเช่นแต่ก่อนเวลาเพื่อนๆ ให้ทำอะไรเรามักเขินๆ แต่ตอนนี้มีความมั่นใจและสามารถก้าวไปทำอะไรได้อย่างมั่นใจเพิ่มขึ้น เพราะเรารู้แล้วว่าต้องมีคนที่ดูเราอยู่ ไม่เหมือนสมัยก่อนจะทำอะไรก็ยังครึ่งๆ กลางๆ อยู่เลย เนื่องจากยังไม่มีความกล้ามากพอ

ทำงานเคยเจอปัญหาบ้างไหม?
MOST : เคยครับ เริ่มทำงานอะไรก็จะพบเจอปัญหาตลอด ถ้าไม่มีปัญหาเข้ามาคงน่าเบื่อแย่ ส่วนปัญหาที่เข้ามาขณะทำงาน เช่น เรื่องดำเนินการในโปรดักชั่น หรือจะเป็นเรื่องส่วนตัวก็แบบว่า เห้ย…อันนี้มันยากจัง  อะไรอย่างนี้!!  ก้าวผ่านปัญหานั้นได้อย่างไร? อันดับแรกต้องมีสติ ไม่มานั่งโอดครวญ ไม่คิดเยอะ และต้องลงมือทำ รวมไปถึงต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ

ตอนนี้มีผลงานอะไรบ้างที่อยากให้แฟนๆ ติดตาม?
MOST : 
ตอนนี้มาเป็นนักแสดงรับเชิญในละครเรื่องน้องใหม่ 4 ตอนครับ แล้วก็ “ฟ้าฝากรัก” ของค่าย Broadcast และบุพเพสันนิวาสจะกลับมารีรันฉายช่วงเย็น ต่อมาก็จะมี YouTube Channel เป็นของตัวเอง ผมจะเอาเพลงที่เคยเขียนมาทำจริงๆ ปกติผมชอบร้องเพลงนะครับ และไม่ใช่ว่าจะร้องดี (หัวเราะ) เป็นเพลงที่ผมทำขึ้นมาเอง ประกอบกับ Cover เพลงสลับกันไปจนกว่าจะหมดมุข ซึ่งเพลงที่ผมเขียนนั้นนานมากแล้ว 3-4 ปีได้  และยังไม่ได้ทำสักที เพราะไม่มีความมั่นใจ และต่อจากนี้แฟนๆ รอติดตามผลงานเพลง และผลงานละครของผมทั้งหมดได้เร็วๆ นี้นะครับ

“ก้าวผ่านปัญหานั้นได้อย่างไร? อันดับแรกต้องมีสติ ไม่มานั่งโอดครวญ ไม่คิดเยอะ และต้องลงมือทำ รวมไปถึงต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ”

ทุกคนมีจุดอ่อน หากเราสามารถรักษาหรือเยียวยาจุดอ่อนนั้นได้ จะทำให้เรากลายเป็นคนแข็งแกร่งมากขึ้น ดังเหมือนโมสต์ เด็กหนุ่มขี้อายทำลายกำแพงหนาที่ปิดปังอนาคตของตัวเอง ออกไปสู่ความสำเร็จได้อย่างมั่นใจ แม้ละครดังอย่าง “บุพเพสันนิวาส” จะจบไปแล้ว แต่การทำงานของ โมสต์ ยังคงดำเนินต่อไปเพื่อพิสูจน์ให้คนไทยยอมรับในฝีมือการแสดงของเขามากยิ่งขึ้น[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=xZw5eBryimY[/embedyt]

ติดตาม โมสต์ ได้ที่
IG : @witsamost


Credits
Model : Wisarut Himmarat [MOST]
Photographer : Patarit Pinyopiphat
Stylist : Jakkaphong Kirdtongkum
MUA & Hair : Chawalit Chumsiri
Fashion Producer : Sunicha Suparat
Photographer’s Assistant : Copter Chaosaowpa
DOP : Praweena Fangrew
Text : Natwaree Kokuy

*Special thanks
1.) BangYork city T-shirt by
SSAP
2.) Blue French terry jacket&pants by Gingko
3.) White sewater by CURETED
4.) Purple shitrt , Black/Brown pants by Jin Vondervic
ALL FROM Gin&Milk