รอยยิ้มสดใส และความหลงใหลในเส้นทางของตัวเธอเอง กับ คารีสา สปริงเก็ตต์ by SWATCH

รอยยิ้มสดใสที่แสดงอยู่เบื้องหน้าม่านชัตเตอร์และแสงไฟสปอร์ตไลท์ ฉายภาพของความสามารถและความเป็นมืออาชีพบนหน้าฉากวงการบันเทิงของสาวน้อยลูกครึ่ง คารีสา-คาร์โรไลน์ เอ็มมา สปริงเก็ตต์ แต่สิ่งที่น้อยคนได้รู้คือหลังฉากม่านมายาของเธอนั้น อุตสาหกรรมบันเทิงยังแทรกซึมอยู่ในทุก ๆ บทบาทอันเกิดจากความรักและความหลงใหลในเส้นทางของตัวเธอเอง ผ่านการเป็นนักศึกษาของวิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคมมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

ภายใต้วันและคืน… Mellow Issue ขออาสาพาผู้อ่านไปรู้จักกับมุมต่าง ๆ ผ่านสองด้านของชีวิตงานบันเทิงของเธอ

วัยเด็กของคารีสา
CARISSA : 
หนูเป็นเด็กชลบุรีค่ะ เด็กต่างจังหวัด เป็นเด็กพัทยาที่ค่อนข้างซนมาก ลุย ๆ ชอบเล่น ชอบซนทุก ๆ อย่าง ไม่ได้สนใจอะไรในวงการนางแบบหรือการเป็นนักแสดง ดาราเลย เพราะว่ารูปร่างตอนเด็ก ๆ จะดำ ๆ อ้วน ๆ เนื่องจากเราเป็นเด็กลุย ๆ หน่อย

ความฝันในวัยเด็ก
CARISSA : คือหนูไม่ได้มีความฝันเกี่ยวกับวงการบันเทิงเท่าไหร่ ความฝันตอนเด็ก ๆ เลยก็คือเราอยากมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง แล้วก็อยากเปิดเนิร์สเซอรี่ เพราะว่าตอนเด็ก ๆ หนูเป็นเด็กที่ค่อนข้างชอบกินมากก็เลยทำให้ตัวเองอยากมีร้านอาหาร แล้วเราเป็นคนชอบเด็ก แต่ไม่ชอบเด็กที่โต เพราะพอโตแล้วจะแย่งหนูคุย เถียงหนูได้(หัวเราะ) ก็เลยไม่ชอบ ไม่ชอบให้ใครเถียง ความฝันช่วงเวลานั้น ๆ ก็เลยอยากทำเป็นเนิร์สเซอรี่เด็กเล็กกับร้านอาหารนี่แหละ All from Youth Tonic.

การเติบโตมาในสองวัฒนธรรมที่มีพ่อเป็นคนอังกฤษและแม่เป็นคนไทย บทบาทการอบรมเลี้ยงดูของทั้งคู่แตกต่างกันยังไง?
CARISSA : ตอนเด็ก ๆ ด้วยความที่เราไม่ได้คิดอะไรมันก็เลยดูไม่ต่าง แต่จริง ๆ แล้วมันมีความต่างมาก ทั้งการเลี้ยงดู วัฒนธรรม ซึ่งมีมาคนละแบบ เราจะได้พลังจากพ่อแบบนึงจากแม่แบบนึง แล้วก็มีนิสัยจากทั้งสองคนนี้มาผสมรวมกัน คุณพ่อจะเหมือนผู้หญิง จะเป็นพาร์ทที่มีบุคลิกค่อนข้างอบอบุ่น อ่อนโยน เซ้นซิทีฟ ใจดีให้ความรัก แล้วก็เป็นคนที่มีอิทธิพลกับเรื่องแง่คิดเรื่องทัศนคติ ส่วนคุณแม่จะเป็นคนที่แข็งแกร่ง กล้าหาญ ลุย ๆ เราก็จะได้เรื่องความแข็งแกร่งความเป็นนักสู้มาจากตรงนี้

มี “ธุรกิจส่วนตัว” เป็นความฝันวัยเด็ก แล้วอะไรที่ทำให้เข้ามาทำงานในเส้นทางสายบันเทิง ?
CARISSA : หนูเข้ามาในวงการบันเทิง ส่วนหนึ่งเพราะพวกสื่อสังคมออนไลน์ด้วยค่ะ เพราะว่ามีคนเขาไปเห็นรูปเราแล้วก็มองว่าเราน่าจะลองมาคัด มาแคสท์ติ้ง ประกวดอะไรต่าง ๆ ได้ ก็เลยทำให้เริ่มมีงานถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา งานละคร เป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพในวงการบันเทิง T-shirt from Youth Tonic.

คนรู้จักคารีสาจากเบื้องหน้าของงานบันเทิง แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าเป็นคนที่ให้ความสนใจกับงานเบื้องหลัง ทำไมถึงตัดสินใจเรียนนวัตกรรมสื่อสารสังคม ภาคภาพยนตร์?
CARISSA : ทุกคนที่รู้ก็จะสงสัยเหมือนกันว่าทำไมเราเรียนคณะที่เราดูมีความรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่หนูมองว่ามันไม่เหมือนกันค่ะ สมมติคนอยากจะเป็นหมอ ก็ต้องไปเรียนหมอเพื่อเป็นหมอ แต่เราเป็นดาราโดยที่เราเป็นจากข้างนอกมาก่อน Mindset ความรู้ข้างในเราไม่ได้มี การเรียนแอคติ้งมันได้แค่แอคติ้ง แต่ว่าการเรียนโปรดักชั่นต่าง ๆ มันคือการต่อยอดทำให้เราเข้าใจองค์กร  เข้าใจบริษัท ระบบ รวมไปถึงการเข้าใจขั้นตอนการผลิตต่าง ๆ เข้าใจแสง มุมกล้อง เบรคดาวน์ ระบบเวลา ซึ่งจะช่วยเรื่องวินัยในการทำงานของเรา พอมาเป็นดาราหรือมายืนอยู่ข้างหน้ามาก ๆ คนจะรู้สึกว่าเราเป็นผู้นำ แต่ภาวะผู้นำมันควรจะมีความฉลาด ความรู้ ซึ่งเรายังไม่มีมากพอ เรามีแค่ฝีมือในการแสดงอย่างเดียว ถ้าเราอยากอยู่ข้างหน้าแบบมีพลังมากกว่าเดิม หนูมองว่าเราควรเข้าใจคนที่อยู่ข้างหลังทั้งหมดเพื่อที่จะสื่อสารงานกับเขาให้เกิดประโยชน์ในการทำงานด้วยกันได้มากขึ้น

ทำไมต้องเป็นภาคภาพยนตร์?
CARISSA : โดยทั่วไปคนอาจจะคิดว่าหนังคือการเอนเตอร์เทนอย่างเดียว แต่ย้อนกลับไปเป็นร้อย ๆ ปีภาพยนตร์ เป็นสิ่งที่ทำให้คนมีความเชื่อ ความคิด เกลียดกัน รักกัน สมัยก่อนสิ่งพวกนี้ก็คือการโน้มน้าวใจผ่านพลังของ ภาพยนตร์ด้วยกันทั้งนั้น หนูเลยคิดว่าถ้าวันนึงที่เรายังคิดว่าเราเป็นคนดีอยู่ เราก็อยากให้ประเทศชาติเรามีสื่อที่ดี การเปลี่ยนคนมันอาจจะยากที่จะไปเปลี่ยนอย่างตรงไปตรงมา มันยากที่จะปลูกฝังทัศนคติ แต่ถ้าเราผลิตหนังดี ๆ โดยไม่หยุด ผ่านไป 10 ปี คนที่ได้ดูอะไรที่ดี เขาจะกลายเป็นคนแบบนั้น ตัวหนูเชื่อในพลังของสื่อมวลชนนะ

“ห้องเรียนสื่อ” สอนอะไรคารีสาบ้าง ?
CARISSA : เหมือนเป็นเรื่องของประสบการณ์มากกว่าค่ะ คืออาจารย์ที่เขามาสอน ทำให้เรารู้สึกเหมือนเราได้นั่งคุยกับคนที่เขารู้ และรักด้านนี้จริง ๆ  การเรียนภาพยนตร์สำหรับหนูมันไม่เหมือนเรียนหมอ หมอมันคือทฤษฏี แต่การทำหนังการทำสื่อต่าง ๆ มันคืองานครีเอทีฟ มันคือมุมมอง มันคือทัศนคติ เราอายุแค่นี้เราเจอโลกน้อยกว่าคนที่เขาเจอโลกมามาก อย่างน้อยก็มากกว่าเรา ได้ผ่านประสบการณ์ ได้ทำงาน ได้เห็นอะไรต่าง ๆ เพราะฉะนั้นเราอยากพาตัวเองไปศึกษาจากคนที่เขาเจอมา แล้วดูว่าเขาคิดหรือมีมุมมองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ยังไง หนูมองว่ามันเป็นเรื่องของการไปปลูกฝังทัศนคติ

สิ่งที่ประทับใจที่สุดในการเรียน ?
CARISSA : บรรยากาศค่ะ ชอบบรรยากาศ พอเป็นนักแสดง สิงที่อ่อนไหวสั่นสะเทือนมากที่สุดมันคือเรื่องของอารมณ์ พอไปอยู่ตรงนั้นมันจะเป็นอารมณ์ที่เรามีต่อเพื่อน อารมณ์ที่มีต่ออาจารย์ ความตื่นเต้นความดีใจ ความใจสั่นของการที่เราได้ไปอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ ของสื่อบันเทิงเพลง หนังมันจะมีอารมณ์พวกนี้อยู่ในช่วงเวลาเหล่านั้นจริง ๆ  ยกตัวอย่างคือ ถ้าหนูเรียนเกี่ยวกับดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ แล้วมีคนโทรมาบอกหนูว่าพรุ่งนี้จะพาหนูไปดวงดาว เด็กคนนั้นมันคงจะกรี๊ด ใจสั่น หัวใจจะวาย มันจะเป็นความสั่นที่มีความสุข อย่างเหมือนเราถ้าวันนึงเราได้ไปดูคอนเสิร์ตที่ชอบมาก ไปรับพลัง ไปรับอาร์ต ไปรับแสงสีเสียง โปรดักชั่นของเขา เพื่อมาต่อยอดในการเล่าเรื่องเป็นภาพเป็นวิดีโอ มันคงจะดีมาก มันคือความสุข

มุมมองของคารีสาต่อสื่อไทยปัจจุบัน ?
CARISSA : ความชอบของแต่ละคนมันต่างกันเพราะฉะนั้นมันไม่มีผิดหรือถูก คนไทยหลายคนจะชอบอะไรที่ผ่านง่าย เปลี่ยนไว ตลก มันทำให้มีรายการประเภทนี้เยอะ แต่ถ้าให้พูดแบบขอวอน… หนูอยากให้คนที่ทำสื่อมีจรรยาบรรณ หนูยกตัวอย่างหมออีกครั้งคือคนเรียนจบหมอเขาจะต้องเรียนหมอเพื่อเข้าใจการรักษา เข้าใจวิชาชีพ จรรยาบรรณแพทย์ แต่คนที่เป็นเจ้าของสื่อไม่ใช่ทุกคนที่จะเรียนด้านสื่อ บางครั้งเขาไม่ได้มีความรู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง ซึ่งสื่อมันเป็นเครื่องมือที่สามารถทำอะไรเพื่อโน้มน้าวใจคนได้ แต่เราไม่มีความรู้ด้านจรรณยาบรรณ สิ่งที่ควรไม่ควร ซึ่งเขาก็ไม่ได้ผิดนะ มันเป็นแค่ความไม่รู้ ก็เลยอยากให้คนที่ทำสื่อศึกษากันให้มากขึ้น มองเข้าไปในจิตใจตัวเองบ้างนิดนึง ก่อนที่เขาจะส่งต่อสิ่งต่าง ๆ ออกมา

สำหรับคารีสา สื่อมวลชนที่ดีควรจะต้องรับผิดชอบต่อสังคม?
CARISSA : มันไม่ใช่แค่สื่อมวลชนค่ะ สำหรับหนูแล้วมันคือทุกคนควรมีความรับผิดชอบต่อสังคม มันไม่ใช่แค่รัฐบาล คนดี หรือคนที่อยู่ข้างหน้าเท่านั้น จริง ๆ แล้วสำหรับหนูมันคือทุกคน… ความสำคัญจริง ๆ คือเราต้องไม่ขาดความรับผิดชอบในการเป็น “มนุษย์”

ในยุคที่ใครก็เป็นสื่อได้ ผ่านโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต อะไรคือความสำคัญของการที่ต้องเรียนสื่ออยู่?
CARISSA : คือโลกมันเปลี่ยนตลอดสิ่งแรกเลยคือเราจะได้เห็นวัตกรรมที่ทันยุคสมัย ได้เรียนรู้เรื่องราวของธุรกิจ ของอุตสาหกรรม ไปจนถึงทัศนคติต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ต่อคน ต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็จะออกมาในผลงาน ออกมาในการให้ข้อมูล ความรู้หรือทัศนคติต่อคนในประเทศ Sweater from H&M.

จากเส้นทางบนแคทวอล์ค จอเงิน จนถึงหลังฉาก เราได้เห็นความสามารถของคารีสา ผ่านผลงานหลาย ๆ อย่าง ในอนาคตมีงานอะไรที่ท้าทายให้อยากทำอีกมั้ย?
CARISSA : ยังมีอีกหลายอย่างเลยค่ะ หนู้รู้สึกว่าหนูพึ่ง 20 ชีวิตเรายังมีอะไรให้ทำอีกเยอะมาก แต่ถ้าในเร็ว ๆ นี้คือกำลังจะมีซิทคอมเข้ามา ก็คงจะเป็นช่วงจังหวะใหม่ ๆ เป็นอะไรที่แปลกตาสำหรับทุกคนที่เคยเห็นหนูในโหมดถ่ายแบบ เดินแบบ หรือบทบาทร้าย ๆ ในละคร บทดราม่า ซึ่งในซิทคอมก็จะออกมาเป็นอีกแนว เป็นบทคอมเมดี้  ก็เป็นอะไรที่สนใจอยากลองทำผลงานด้านนี้ออกมาให้ดีค่ะ

ฝากอะไรถึงคนที่ติดตามหน่อย
CARISSA : ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ คนที่ติดตามอยู่แล้วก็ขอบคุณมากเลย ทุกกำลังใจมันคือแรงผลักดันที่ทำให้เรายังอยู่ได้ เพราะการอยู่เบื้องหน้ามันเจอทั้งเรื่องราวดี ๆ และเรื่องที่ทำให้บั่นทอน แต่ คนที่ยังรักเราอยู่โดยที่เขาไม่ใช่ครอบครัวเดียวกับเรา ให้ความรักเราเพราะเขาแค่รัก มันเป็นพลังให้เราสร้างผลงาน เพราะว่าจริง ๆ แล้วการที่เป็นดารานักแสดงเราไม่ได้ให้อะไรเขาเลย “นอกจากผลงาน”  ซึ่งอาจจะเป็นส่วนไปเอนเตอร์เทนความสุขของเขา เราก็เลยอยากทำผลงานของเราไม่ว่าจะเป็นเบื้องหน้าหรือเบื้องหลังของเราให้ดีที่สุดเพื่อเป็นประโยชน์กับเขาBlazzer from Youth Tonic.

ความสามารถอันหลากหลายที่ถูกส่งผ่านจอแก้วเป็นส่วนหนึ่งของความโดดเด่นที่ทำให้หลายต่อหลายคนจดจำหญิงสาวที่ชื่อ “คารีสา” แต่ยิ่งไปกว่านั้นแล้วสิ่งที่ผลักดันให้เธอมาอยู่ตรงนี้คือทัศนคติ ความอยากรู้อยากเห็น และต้องการพัฒนาตัวเองอย่างไม่รู้จบ

“ถ้าเราอยากอยู่ข้างหน้าแบบมีพลังมากกว่าเดิม หนูมองว่าเราควรเข้าใจคนที่อยู่ข้างหลังทั้งหมดเพื่อที่จะสื่อสารงานกับเขาให้เกิดประโยชน์ในการทำงานด้วยกันได้มากขึ้น”


Special thanks : Swatch

https://www.swatch.com/th_th/

Credits
Model : Carissa Springett
Photographer : Patarit Pinyopiphat
Stylist : Salalee Sombutmee
MUA & Hair : Chawalit Chumsiri
Fashion Producer : Sunicha Suparat
Photographer’s Assistant :Sithipong TiyawarakulPraweena Fangrew
Text : Thima Maipang

*Model wears
1.) Youth Tonic