เวลา 12 ปีบนเส้นทางไกล ถือเป็นหนึ่งรอบชีวิตของช่วงอายุที่เวียนมาบรรจบ เปลี่ยนแปลงเด็กให้เข้าสู่วัยรุ่น และแปรเปลี่ยนวัยรุ่นให้เข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว เฉกเช่นเดียวกับ 12 ปีบนหนทางดนตรีของ ว่าน – ธนกฤต พานิชวิทย์ ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านบทเพลงอันสะท้อนมุมมองจากชีวิตและตัวของเขา ที่ผลัดรอบวงปีให้แข็งแกร่งและมีเสน่ห์ขึ้นอย่างมากมาย…
ในวันนี้ว่านกลับมาพร้อมกับอัลบั้มใหม่ และ Single เปิดตัวอย่าง “โสดทัศนศึกษา” ที่ได้ เป้วง Mild มาช่วยตีความชีวิตแบบโสด ๆ ของเขา โดยมีจุดหมายปลายทางที่จะพาผู้ฟังไปเห็นความสุขของชีวิต “โสดแต่สุข” อย่างอิ่มเอมและมีความหมาย
“เรารักเขามันคือ Emotional Benefit แต่ความสุขต้องกำหนดด้วยกัน ไม่ต้องชอบตรงกันทั้งหมดก็ได้ แต่ต้องยอมรับสิ่งที่คนอื่นชอบ อย่างน้อยวันคู่วันคี่ก็ได้ วันนี้ไปกินกาแฟนะ พรุ่งนี้ไปกินไมโลดิบกัน”
ย้อนกลับไปวันแรกในฐานะศิลปิน ผู้เข้าประกวด Academy Fantasia(AF) ที่ชื่อว่าน มองภาพความสำเร็จของตัวเองไว้ว่ายังไง ?
WAN : คือ… ในตอนนั้นจริง ๆ ผมเป็นแค่เด็กที่ชอบเล่นดนตรี ชอบเขียนเพลง ในความเป็นจริงคือ ไม่ได้คิดว่าอยากเป็นนักร้องเหมือนคนอื่นเขาด้วยซ้ำ เราไม่รู้ว่าความสำเร็จของรายการจริง ๆ คือไปเป็นนักร้อง จุดหมายปลายทางก็จะแตกต่างกับเพื่อนคนอื่นนิดหน่อย ผมไปสมัครเพราะอยากที่จะทำเบื้องหลัง อยากเขียนเพลง อยากส่งเพลง เรามองแค่ว่าโอกาสในครั้งนั้นจะเป็นประตูบานนึงที่ทำให้เราได้คลุกคลีกับคนในวงการ รู้จักกับคนเขียนเพลงคนอื่น ๆ
วันแรกที่เริ่มเขียนเพลงของตัวเอง กับในปัจจุบันมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ทำให้เนื้อหาเพลงและตัวตนของเราเปลี่ยนแปลงไปมั้ย ?
WAN : สำหรับผมมันคือเรื่องวงปีของอายุคน ถ้าต้นไม้เล็กเกินไปเรื่องราวมันก็คงน้อย แต่นี่เราผ่านความยินดีมาหลายครั้ง ผ่านความเจ็บปวดในหลาย ๆ เรื่อง ความเสียใจมันก็จะมีหลายภาคชั้นมากขึ้น ว่าการเลิกกันแต่ละครั้งเป็นไปด้วยเหตุผลอะไร พอมีความเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น มันทำให้เราแยกย่อยโฟลเดอร์ของอารมณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ย้อนกลับไปตอนที่ผมเป็นเด็ก การเลิกกับใครมันก็จะเป็นเรื่องของความเสียใจ เสียใจยังไงไม่รู้ แต่เขาไปแล้ว เพลงก็จะมุ่งไปในทางนั้นเลย “วันนี้ไม่มีเธอแล้วนะ ชีวิตมันว่างเปล่า โลกที่ไม่มีเธอ” แต่พอผ่านเวลามามันอาจจะเป็น “ขอโทษที่เราไปด้วยกันไม่ได้ แต่ความเป็นจริงแยกกันวันนี้อาจจะดีกว่า” ในทุกความสัมพันธ์มันจะมีเหตุผลเข้ามาสนับสนุนเสมอ ไม่ใช่แค่รักกันแล้วจะสร้างครอบครัวได้ มันมีเหตุผลของหลาย ๆ ชีวิตที่เชื่อมโยงกันอยู่
มีเพลงออกมาให้เราได้ฟังอยู่ตลอด สำหรับว่านแล้วทรัพยากรในการเขียนเพลงได้มาจากไหน?
WAN : เรื่องของผมเป็นครึ่งนึงของเพลงทั้งหมดที่เขียนครับ มาจากความรู้สึก เรื่องที่เจอ ในขณะที่อีกครึ่งนึงผมเป็นคนช่างสังเกตคน เวลาคุยกับคนอื่นเราก็จะชอบถามอะไรที่เราอยากรู้ โดยไม่ได้ละลาบละล้วง เราแค่ชอบที่จะคุยกับคนอื่น ๆ และเมื่อถาม ถามถูกจุด เขาเริ่มตอบสนุก เริ่มพรั่งพรู มันแสดงว่าเราไปคลิกกับอะไรบางอย่างในตัวเขา และเรื่องราวเหล่านั้นบางเรื่องก็ถูกเราหยิบยืมมาใช้ มาดัดแปลงเป็นเพลง
กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มใหม่ Midnight Crisis และ Single โสดทัศนศึกษา ที่มาของเพลงนี้คืออะไร ?
WAN : จริง ๆ งานนี้เป็นงานเพลงที่ผมไม่ได้เขียนนะ แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เริ่มจากตัวผม เราเริ่มต้นอัลบั้มด้วยการแจกจ่ายให้คนที่รู้จักที่เราอยากทำงานด้วยมาก ๆ อย่างเพลงโสดทัศนศึกษาเป็นเพลงที่ได้ร่วมงานกับวง Mild ซึ่งจริง ๆ มันควรจะได้ทำงานด้วยกันมาก่อนนี้มาซักสองปีแล้ว พอเวลาเหมาะสมก็เลยมาลงเอยที่เพลงนี้ โดย เป้ (นักร้องนำวง Mild) เขาก็ใช้เวลาในการรู้จักผม คอยดูว่าถ้าจะเขียนเพลงให้นักเขียนเพลงเหมือนกันมาร้อง จะต้องทำยังไง เราคุยกันว่าผมอยู่คนเดียวเก่ง เลยตีความว่า ร้องบทเพลงแห่งความโสด และเข้าใจคนโสดละกัน หรืออย่างน้อยก็เป็นเพื่อนกับคนที่ยังครองตนเป็นโสดอยู่ได้
สำหรับว่านแล้ว อะไรคือจุดเด่นในการทำงานกับวง Mild ?
WAN : คือเป้เป็นสารตั้งต้นครับ ผมรู้สึกว่า เป้เป็นคนที่เข้าใจความเป็นผมได้ดีเลย ว่าในความทีเล่นทีจริง ความกวนประสาทในบางมิติ มันมีความแข็งแกร่งของการมีความสุขอย่างง่าย ๆ และเป็นมิตรต่อโลก ต่อคนอื่น ๆ คือเวลาโสดมันก็มีข้อดีนะ จุดเด่นของการทำงานกับ Mild คือการทำงานที่สนุก อย่างเวลาผมทำงานคนเดียวก็จะทำที่บ้าน กับคอมพิวเตอร์ แต่คราวนี้มันเหมือนทำงานในห้องซ้อม คือ Demo 1 เราคิดงานแบบนี้นะ ทุกคนมีเครื่องดนตรีประจำตัว คิดไลน์มาประมาณนึง แล้วก็เล่นเลย เล่นเสร็จบันทึกไว้ก่อน แล้วก็มานั่งฟังกัน ก่อนจะเอาไป Develop อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่คิดอะไรได้เพิ่มอีกก็มารวมกัน ซึ่งมันทำให้ทำงานเร็วมาก งานที่ได้ออกมาอาจจะต่างจากการคิดคนเดียว ความเข้มข้นของการขยี้เนื้อหาต่าง ๆ อาจจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าความสดชื่นของเพลงมันดีกว่า มันสนุกมาก เหมือนไปห้องซ้อมกับเพื่อน
ทำไมมิวสิควิดีโอถึงเลือกป๋อมแป๋ม ?
WAN : อันนี้ก็สำคัญครับ เมื่อเรามีงานเสียงที่เรารู้สึกชอบตรงกันแล้ว งานภาพเนี่ยผมว่ายิ่งผ่านไปแต่ละปี ยิ่งทำยาก เอ็มวีมันเป็นงานภาพที่เล่าเรื่องให้รู้เรื่องภายในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งทำยากมาก เราก็ต้องหาบุคลากรที่ดูจะตรงกับ Product นี้ก่อน คราวนี้ผมก็คิดว่า Icon ของความโสดที่ทุกคนจะต้องรักเขา แม้ว่าเขาจะไม่มีแฟนให้รัก เป็นคนที่ผู้หญิงก็ชอบ ผู้ชายก็ชอบ ไม่ใช่ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ชอบ เด็กก็ชอบ ผู้ใหญ่ก็ชอบ ถ้าไม่ใช่พี่เบิร์ดแล้วก็น่าจะเป็น ยายป๋อมแป๋ม นี่แหละ แม่ผมยังชอบเขาเลย ผมเคยบอกกับแม่ว่า เอายายป๋อมแป๋มมาเล่นเอ็มวีดีมั้ย แม่ก็จะบอกว่า เอ้อดีสิ เขาน่ารักนะ ใคร ๆ ก็ชอบเขาหมด ผมก็ไม่รู้ว่ายายป๋อมแป๋มโสดจริง 100 เปอร์เซ็นต์รึเปล่า แต่ว่าทุกครั้งที่เจอกัน เขาก็จะมีวิธีการใช้ชีวิตให้มีความสุขโดยไม่ต้องพึ่งคนอื่นเยอะนัก เป็นคนทุ่มเทกับงาน ในขณะที่ชีวิตส่วนตัวก็สนุกเต็มที่มาก โดยไม่เคยพาแฟนมาให้เห็น แสดงว่าเขาดูเป็นคนที่อยู่คนเดียวเก่ง สำหรับผมผมคิดว่าคนที่อยู่คนเดียวได้ดีเนี่ย เหมือนได้รับพรจากฟ้าเลย
ความแตกต่างระหว่างชีวิตโสดกับชีวิตมีแฟนของว่าน ?
WAN : สำหรับผมเวลาเรามีความสุขกับชีวิตโสดมันคือการที่เราคิดถึงความคล่องตัวของเราคนเดียว เรื่องเงิน เวลาจองตั๋วก็จองตั๋วคนเดียว นอนโรงแรมแคปซูลก็ได้ มันสะดวก แล้วมันก็เป็นความสุขที่เราออกแบบเองได้คนเดียว แต่เมื่อมีแฟน มันคือการรับคนมาเพิ่มในชีวิต ซึ่งมันทำให้เรามีความสุขมากกว่า อย่างน้อยก็ 1+1 หรือไม่ก็ x2 แต่ข้อแม้ของความสุขนั้นมันต้องถูกคิดด้วย 2 สมองแล้ว เรื่องหัวใจผมจะไม่นับนะ เรารักเขามันคือ Emotional Benefit แต่ความสุขต้องกำหนดด้วยกัน ไม่ต้องชอบตรงกันทั้งหมดก็ได้ แต่ต้องยอมรับสิ่งที่คนอื่นชอบ อย่างน้อยวันคู่วันคี่ก็ได้ วันนี้ไปกินกาแฟนะ พรุ่งนี้ไปกินไมโลดิบกัน การบริหารจัดการชีวิตคู่มันก็จะยากกว่า เป็นความสุขคนละแบบ ซึ่งทั้งสองรูปแบบมันไม่ได้มีใครผิดครับ การจะไม่มีแฟนตลอดไปก็ไม่ได้ผิดหรือเป็นคนไม่ดีนะ แต่อาจเป็นความสุขในการจัดการตัวคนเดียวมากกว่า
นอกจากการร่วมงานกับ Mild เราจะได้เห็นอะไรใหม่ ๆ ใน Midnight Crisis อีก ?
WAN : นอกจากเพลย์โฟลเดอร์ที่ละเอียดขึ้นในการคิดเนื้อหา เราจะขยายการรู้จักไปสู่คนต่าง ๆ เยอะขึ้น อย่างพี่บอยตรัยก็เคยทำงานร่วมกันแล้ว ซึ่งก็เป็นหนึ่งในความฝันเล็ก ๆ ของผมเลย ผมก็เลยขยายไปอีกว่า ถ้าเกิดว่าไม่ใช่พี่คนเดียวแล้ว เป็น Friday มาบันทึกเสียงให้ผมเลยได้มั้ยเพราะเราเคยชอบไลน์ต่าง ๆ ของพี่อดุลย์ ของพี่หนึ่ง ผมก็เลย List เอาไว้ในอัลบั้มนี้ว่าต้องการร่วมงานกับ Friday ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี
ย้อนกลับไป 12 ปีก่อน ถ้าไม่ได้เข้าแข่งขันในเวที AF คิดว่าทุกวันนี้จะทำงานบนถนนดนตรีอยู่รึเปล่า ?
WAN : คิดว่าทำนะครับ ผมคงจะหาวิธีไปส่งเพลงที่ไหนซักแห่งนึงอยู่ดี เมื่อก่อนเราก็ดู ๆ ว่าเขาต้องไปส่งตามค่ายนะ ค่ายเล็ก ๆ ก็ยังไม่ค่อยมี ก็อาจจะไปเดินเลาะ ๆ อยู่แถวอโศกก่อน ไปเล็ม ๆ ว่าพี่ครับ ส่งเพลงชั้นไหนครับ มันคือล้านวิธีที่จะไปสู่ปลายทางเดียวกันหละครับ ซึ่งมันเป็นหนทางที่ผมชอบ ทุกวันนี้เวลาได้รับมอบหมายพวกเพลงใด ๆ ที่ต้องเขียน ผมก็จะรู้สึกสดชื่นทุกครั้งเลย แม้จะเป็นรายได้ที่น้อยนิดก็ตาม
ในวันนี้ที่วงการเพลงไทยเต็มไปด้วยรายการ Reality ที่สร้างศิลปินหน้าใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย ว่านมองวงการเพลงตอนนี้ว่ายังไง และวงการเพลงไทยควรเติบโตต่อไปในทิศทางแบบไหน ?
WAN : ผมว่ามันไม่เยอะเท่าเมื่อก่อนแล้วนะ เราผลิตบุคลากรไปเยอะมาก แต่พอจบรายการก็จบไปพร้อมกัน คนที่ลงทุนในรายการพวกนี้เขาก็คงเห็นว่ามันมีความไม่สัมพันธ์กันระหว่างคนกับปริมาณงาน ก็เลยดูน้อยลง ก่อนนี้วงการเพลงฉูดฉาดมาก เราเจอนักร้องทุกอาทิตย์เลย ดีเจเปิด Single ใหม่ตลอด แต่สำหรับบางคนมันดังครั้งเดียวแล้วหายไปเลย อาจจะมีเพลงล้านวิว แล้วเขาก็หายไป ในขณะที่พี่ ๆ ที่ผมเคารพนับถือ พี่บอยตรัย หรือรุ่นกลาง เช่น พี่แสตมป์ พี่สิงโต นำโชค คนที่ยืนระยะมาพร้อมกัน เขาจะยังอยู่เป็นกราฟที่นิ่ง ๆ นาน ๆ สำหรับผมเพลงดังอย่างเดียวมันอาจจะไม่พอ ผู้คนอาจจะต้องรักคนร้อง และคนผลิตด้วย เราควรจะเอาทั้งเพลงและตัวเราไปอยู่ในหัวใจเขา อย่างน้อยเมื่อเราทำเพลงใหม่ ๆ ออกมาเขาก็จะได้รู้ว่ามันเป็นงานของเรา แล้วก็ถ้าเขามีใจที่จะฟังเพลงของเราต่อ เขาก็จะยังไม่ไปไหน
“คุณค่าของคนเรามันไม่ได้อยู่ที่การแข่งกับใครเลย มันอยู่ที่การเอนจอยกับชีวิตและสิ่งที่ทำมากกว่า”
มีคนมากมายที่เข้าไป และเดินออกมาจากบ้าน AF แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ สำหรับว่าน อะไรที่ทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ ?
WAN : คุณค่าของคนเรามันไม่ได้อยู่ที่การแข่งกับใครเลย มันอยู่ที่การเอนจอยกับชีวิตและสิ่งที่ทำมากกว่า คนที่สร้างงานเองไม่ได้เขาก็ไม่ได้ผิดนะครับ คนที่เล่นดนตรีไม่ได้ หรือได้รับโอกาสน้อย เขาไม่ผิดเลย แต่ผมมั่นใจว่าพวกผมที่เป็นนักดนตรี นักเขียนเพลง เรามีไฟฉายอันนึงที่ทำให้เราเดินต่อไปเรื่อย ๆ ภายใต้บรรยากาศที่มืดมิด วันไหนไฟฉายนั้นนำทางเราไปเจอที่สว่างไปเจอค่ายเพลงดี ๆ บรรยากาศมันก็จะดีขึ้นบ้าง แต่ด้วยความที่บุคลากรมันเยอะ ไฟใหญ่ ๆ มันอาจจะส่องไปไม่ถึงทุกคน ซึ่งเขาอาจจะไม่มีไฟฉายแบบที่ผมมีอยู่ด้วย บางคนก็อาจจะต้อง หันไปทำอย่างอื่น ซึ่งเขาก็มีความสุขดีนะ แต่ถ้าอยากอยู่ในวงการนี้มาก ๆ ผมก็คิดว่าก็ควรจะหาไฟฉายที่ผมบอกซะ แล้วก็เดินต่อไป อย่าไปหยุด มุ่งไปข้างหน้าไม่ได้ ก็มุ่งไปข้าง ๆ บ้าง มันจะมีวันที่เจ็บปวดมาก ๆ วันที่เรามองว่าทำไปขนาดนี้แล้วทำไมมันได้แค่นั้น แต่เราต้องไม่หยุดที่จะหาทาง ส่องไฟหาทางไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยเราต้องไม่หยุดที่จะสร้างงาน
ทำงานในวงการบันเทิงมาเกือบทุกประเภทแล้ว (ดีเจ นักร้อง โปรดิวเซอร์ งานละคร งานภาพยนตร์) ยังมีความท้าทายไหนอีกที่ว่านให้ความสนใจอยากจะทำ?
WAN : แผนในอนาคตซึ่งผมอยากให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งตอนนี้กำลังเริ่มทำละครับ คือปัจจุบันมันมีความสะดวกสบายของเทคโนโลยีเข้ามาจับเยอะมาก การสตรีมเพลงในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ตอนนี้ผมกำลังทำแพลตฟอร์มที่นอกจากคนที่เป็นศิลปินจะมีความสุขแล้ว มันจะเป็นช่องทางที่แบ่งไปถึงคนที่ทำงานข้างหลังด้วย เช่นการโหลดเพลงนี้ 1 ครั้ง สมมติได้เงิน 10 บาท นักร้องได้ 3 บาท ค่ายได้ 3 บาท อีก 25 สตางค์จะไปถึงมือกีตาร์ที่อัด มือเบส มิวสิคเชี่ยนทุกคนโปรดิวเซอร์ คนคุมร้อง เป็นสัดส่วนที่ได้มาตรฐานที่ถูกต้อง ผมคิดว่าถ้ามันทำสำเร็จได้จริงในปีหน้ามันจะทำให้ความสดชื่นของคนทำงานเบื้องหลังกลับมาอีกครั้งนึง ผมว่าเรื่องการทำเพลงแบ่งน้อยดีกว่าไม่แบ่งอะไรเลย มีเงินโอนเข้ามาค่าลิขสิทธิ์เพลงให้ผมพันกว่าบาทเนี่ย ผมดีใจมากเลยนะ แต่คนที่มาบันทึกให้เราต่าง ๆ อย่างพี่อดุลย์ Friday พี่แชมป์ Crescendo พี่ป๊อกวง Zeal เขามาอัดงานให้เรา เขาสะสมบารมีและชื่อชั้นมาเยอะ ทำไมเขาไม่ได้สิ่งที่เขาควรได้ เขามาอัดให้เรา 3-4,000 แล้วก็จบแล้ว เพลงดังสิบล้านวิว ข้างหน้าได้หมดเลย ข้างหลังไม่เคยได้เลย ผมคิดว่าถ้าคลี่คลายบรรยากาศตรงนี้ได้มันคงจะดี
การมีสื่อโซเชี่ยลอยู่ในมือทำให้คนมีโอกาสที่จะมีชื่อเสียงมากขึ้น แต่การจะรักษามาตรฐาน และมีชื่อเสียงไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ อยากแนะนำอะไรกับศิลปินรุ่นใหม่ ?
WAN : การเอาเพลงและตัวเราไปอยู่ในใจของผู้ฟังสำคัญอย่างที่ผมบอก อย่างเรื่องสื่อเวลาเจอน้องมาถามผมก็จะบอกนะว่า วันที่เจอสื่อต้องตั้งใจมาก ๆ จะได้มีความประทับใจต่อกัน ไม่ใช่คุยก็ไม่รู้เรื่อง ตอบอะไรไปก็ไม่รู้ แล้วมันจะไม่สนุก การทำงานก็เหมือนกัน มีความสุขกับมัน เปิดประตูออกไปทำงานให้หนักแล้วเดี๋ยวความสำเร็จมันจะมาตอบคำถามเราเอง อย่าเอาแต่คาดคะเนหาความสำเร็จโดยไม่ได้ลงมือทำ
12 ปีแล้วที่มีคนอีกกลุ่มเติบโตมาพร้อมกับว่านตลอด อยากบอกอะไรกับผู้คนที่คอยติดตามให้กำลังใจเราบ้าง ?
WAN : เรื่องขอบคุณนี่ต้องขอบคุณกันอย่างรุนแรงมากครับ คือตอนที่คิดจะทำเพลง ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะมีคนเออออเห็นดีเห็นงามกับเราเยอะขนาดนี้ จนวันนี้มันก็ไม่มากไม่น้อย แต่มันเหนียวแน่ ก็ยินดีทุกครั้งที่ได้เจอ คือผมพยายามที่จะทำให้เป็น Community ขนาดเล็ก ที่ไม่ต้องฉูดฉาดมาก ไม่ต้องมีมีทติ้งบ่อย ๆ หรือไม่มาแล้วจะงอนกัน ว่างก็มา ติดธุระก็ไม่ต้องมา ห้ามมา!! พอมีวาระครั้งนึงเราก็รวมตัวกัน มีทติ้งกันซักครั้ง รวมเงินกันไปหาปลายทางซักที่นึง คือเราไม่อยากได้เงินของเขามากมายขนาดนั้น เงินควรจะไปหาที่อื่น ส่วนแฟน ๆ เขาสนับสนุนเรามาเป็นสิบปีแล้ว มันก็คือการระดมเงินเพื่อไปทำอะไรซักอย่างเพื่อจะได้ยิ้มด้วยกัน ปีที่แล้วเราเอาเงินไปช่วยโรงพยาบาล เราก็ไม่ได้รู้จักเขาหรอก จะเอาเงินไปทำอะไรก็ให้โรงพยาบาลเขาจัดการ แต่ถือว่าเราให้แล้วนะ ทุกคนเห็นตรงกันแล้วนะว่าเราทำด้วยกัน สนุกดี สนุกจังเลย ไป… แยกย้าย!!
12 ปีแล้ว ว่านวันนี้แตกต่างกับว่าน AF เมื่อ 12 ปีที่แล้วแค่ไหน ?
WAN : ถ้าลักษณะทางกายภาพนะครับ ผมรู้สึกโตมาก ทุกวันนี้ผมปวดเข่า สมัยก่อนเตะบอลทุกอาทิตย์ เดี๋ยวนี้เตะหนึ่งครั้งเว้นสองอาทิตย์ ส่วนวิธีคิดที่สมองมันคงจะไม่บวมก็ฟีบไปบ้างจนตกตะกอนเป็นทุกวันนี้ คือผมมีความสุขง่ายมากเลย แล้วก็โกรธคนน้อยมาก อร่อยง่ายขึ้น เขี่ยผักน้อยลง จำไม่ได้ว่าตัวเองจิ้มน้ำจิ้มครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ งอแงกับเครื่องแต่งกายที่จะใส่น้อยลง เมื่อก่อนจะเขิน ๆ แต่ตอนนี้คิดว่ามันเป็นงาน ไว้เลิกงานเราค่อยใส่อะไรที่เป็นตัวเอง มันทำให้เราทำงานกับคนอื่นง่ายขึ้น และคนรอบ ๆ ก็มีความสุขที่จะร่วมงานกับเรา อย่างวันนี้… ผมไม่รู้ว่าบทสัมภาษณ์มันจะจบลงยังไงนะ แต่ถ้าคราวหน้านัดกันแล้วมาก่อนเวลา นั่นแปลว่าเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นแล้ว มากินกาแฟด้วยกันก่อนซักถ้วยสิ แล้วค่อยเริ่มสัมภาษณ์ ผมว่าแบบนี้มันดี…
วงปีและการเติบโตฝากเรื่องราวไว้บนชีวิตคนคนหนึ่ง ผ่านทั้งเสียงหัวเราะและรอยน้ำตา หากเพ่งมองชีวิตโดยทำความเข้าใจกับมันแล้ว ความสุขของคนเราก็ผลิบานขึ้นได้ด้วยตัวของตัวเอง
ติดตาม ว่าน ธนกฤต ได้ที่
FB : Wan Thanakrit Fanpage
SPICYDISC
IG : Wan_soloist
[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=x9tY23hMwVw[/embedyt]
Credits
Photographer :Sithipong Tiyawarakul
Text : Thima Maipang