Garage Records สถานที่แสนอันตราย เพราะอาจต้องตกหลุมรักในแผ่นเสียงไปตลอดชีวิต

จากพรสวรรค์ ความบ้าคลั่ง การกลั่นกรอง หรืออะไรก็ตามแต่ที่นักดนตรีสักกลุ่มหนึ่ง อยากเล่าเรื่องอะไรก็ตามแต่ที่อัลบัมของพวกเขานั้นอยากจะบอกโลก  ห้วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นปี 1967 ของ David Bowie หรือปี 1994 ของ Oasis ตลอดจน 2018 ของ Arctic Monkeys และเรื่องราวจากศิลปินอื่น  อีกมากมายที่ถูกบันทึกไว้บนแผ่นจานกลมขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็กว้างขวางพอที่จะสร้างความสุนทรีอย่างนิรัลดร์

คุณทีม – ณภัทร จันทวิรัช เลือกแผ่นเสียง คล้ายว่ามีเพลงที่อยากฟังทดไว้อยู่ในใจอยู่แล้ว อัลบัม Let It Be ของ The Beatles ถูกวางลงบนเครื่องเล่นอย่างช้า  แต่คล่องแคล่ว ก่อนที่เข็มอ่านจะถูกจับลงมา แผ่นจานสีดำหมุนต่อเนื่อง จากนั้นเพลงแรกของเย็นวันนี้ก็ถูกบรรเลงขึ้นใน Garage Records ร้านขายแผ่นเสียง สถานที่ซึ่งร่ำรวยไปด้วยความหลงใหลในเสียงเพลง

โรงรถที่ไม่ได้ไว้เก็บรถ

ผมชื่อทีมครับ เป็น 1 ใน 4 จากหุ้นส่วนร้าน Garage Records ร้านของเราเปิดมา 5 ปีแล้ว เริ่มมาจากผมและเพื่อนชอบเก็บแผ่นเสียง เป็นนักสะสม แต่ทีนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ร้านขายแผ่นเสียงในกรุงเทพฯ มันมีน้อยมาก แทบจะไม่มีเลย ถึงมันมีจริง  มันก็จะมีแค่ไม่กี่แนว มักมีแผ่นเสียงเก่า หรือไม่ก็ใหม่ไปเลย แต่พวกผมชอบสะสมแผ่นยุค 80’ และ 90′ ยุคที่แผ่นเสียงค่อนข้างมีน้อย ค่อนข้างหายาก ผมก็เลยสั่งจากเมืองนอกมาฟังกันเอง จนรู้สึกว่า “เฮ้ยมันเป็นแผ่นเสียงในยุคที่หายไปจากที่กรุงเทพฯ ก็เลยลองคุยกับเพื่อนว่า เรามาลองเปิดขายกันดูไหมล่ะ เพราะมันก็ต้องมีคนที่ชอบเหมือนกันบ้างล่ะ” จากนั้นก็เริ่มจากการเปิดเพจ แล้วขายแผ่นเสียงเฉพาะในยุคที่ตัวเองชอบเลย นั่นคือแผ่นเสียงจากยุค 80’ กับ 90’

ห้ามขายคล้ายซูเปอร์มาร์เก็ต

ความตั้งใจของ Garage Records คือ อยากให้มันมากกว่าการมาซื้อแผ่น ไม่ใช่ซูเปอร์มาร์เก็ตที่เดินมาซื้อแล้วก็เดินออกไป เราเลยทำร้านให้มีโต๊ะและโซฟาสำหรับนั่งคุยกัน มีเครื่องเล่นให้ลองฟัง เพื่อให้เข้ามาแล้วได้อะไรมากกว่าการมาซื้อของ ได้ประสบการณ์ ได้แลกเปลี่ยนเพลงที่ชอบ บางทีลูกค้าชอบเพลงแนวนี้ บางทีผมชอบเพลงแนวนี้ เรามาแลกเปลี่ยนกัน

จริง  แล้วนะครับ เวลาผมเห็นลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน แล้วเจออัลบัมที่กำลังหาอยู่ “เฮ้ย พี่ อัลบัมนี้ ผมหามานานมาก ผมชอบมาก” มันเหมือนได้เห็นตัวเองในตอนเด็  ที่วิ่งไปร้านขายซีดีตอนวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ไปคลุกอยู่ตรงนั้น แล้วมีความรู้สึกว่า “เ*ยอัลบัมนี้หนิหว่าที่กูตามฟัง” เราจึงเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร คือเราไม่ได้มองแผ่นเสียงเป็นธุรกิจ เราต้องเข้าใจเรื่องเพลง เราก็เป็นคนที่บ้า เป็นคนที่อิน เป็นคนที่สะสมเหมือนกัน หรือหากสมมุติว่าเป็นลูกค้าผู้ใหญ่หน่อย ได้เจอแผ่นเสียงที่ตัวเองชอบ “โห่ เนี่ยล่ะสมัยลุงอายุเท่านี้นะ เพลงนี้ดังมากเลย สมัยลุงจีบคนนู้นคนนี้ ต้องอัดเพลงนี้ไปให้” เขาจะเล่าความหลังของเขา นี่คือสิ่งที่ผมอยากได้จากลูกค้ แชร์เรื่องเพลง แชร์ประสบการณ์ของเขา ร้านเราต้องไม่ใช่ซูเปอร์มาร์เก็ต ทุกคนออกจากร้านไป ต้องได้มากกว่าแผ่น

ทำไมต้องเป็นแผ่นเสียง

แผ่นเสียงคือสิ่งที่จับต้องได้ มันคือสิ่งที่คนในยุคนี้โหยหา มันต่างกันตรงที่ เพลงจาก MP3 หรือ Streming มันรวดเร็วเกินไป มันผ่านไปเร็วเกิน ไม่ได้ทิ้งอะไรตกค้างไว้ แต่ถ้าเป็นแผ่นเสียง มันเริ่มตั้งแต่คุณภาพ มันเป็นฟอร์แมตที่เก็บคุณภาพ เก็บไซย์เพลงได้ใหญ่ที่สุด ในขณะที่พวก MP3 มันต้องบีบไฟล์ให้เล็กเพื่อความรวดเร็ว ตัดทอดให้เล็กที่สุดเพื่อนที่จะส่งผ่านกันให้เร็วที่สุด แต่แผ่นเสียงไฟล์มันจะสดกว่า ส่งตรงจากสตูดิโอ มันเป็นอนาล็อก เรื่องคุณภาพเสียงจึงดีที่สุดแล้ว ถัดมาคืออาร์ตเวิร์ค ปกอัลบัมพวกนี้ แน่นอนว่าโหลด MP3 มา ก็ไม่ได้ปกอัลบัมแล้ว แต่ปกแผ่นเสียงหรืออาร์ตเวิร์คขนาด 12 นิ้ว มันเหมือนเราเก็บงานศิลป์ เก็บรูปเข้ากรอบให้เราสะสม ถ้าเราชอบวงดนตรีวงนี้ เราจะอินกับอาร์ตเวิร์คมาก  แล้วจะมีพวกอินเสิร์ทด้านใน เช่น เนื้อเพลง หรือข้อความที่เกี่ยวกับวงหรืออัลบัม คล้าย  สมุดเล่มนึงเลย คุณค่าทางใจจึงได้ไปเต็ม 

และมันเป็นอีกกิจกรรมหนึ่ง คือเราอาจเปิด MP3 ขณะเราขับรถหรือกวาดบ้าน แต่นี่คือการฟังเพลง เหมือนการทำอาหารกินเอง แม้ไม่อร่อย แต่ก็ต้องอร่อย พอเราได้แกะซอง หยิบแผ่นออกมา วางบนเครื่อง ลงหัวเข็ม นั่งฟัง เราไม่สามารถเปิดแผ่นทิ้งไว้แล้วไปทำอย่างอื่นได้ เพราะเดี๋ยวแผ่นมันก็จะกินไปเรื่อย  ทุกอย่างมันชวนให้เราตั้งใจฟังเพลงมากขึ้น มันคือกิจกรรมที่คนรักในเสียงเพลงต้องชอบ

แผ่นจากยุค 80’ หรือ 90’ คือหายากที่สุด

อย่างที่เล่าว่าตอนแรกผมเก็บแต่แนวนี้ แล้วผมก็เอามาขายแต่ 80’ 90’ ซึ่งเจ๊งเลย เพราะตอนนั้นคนไม่เข้าใจกันว่าทำไมมันแพงกว่ายุคอื่น ก็ในเมื่อ Michael Jackson แผ่นละ 300-400 บาทเอง ทำไม Oasis แม่งมาสองพัน Blur มาสามพัน พอคนไม่เข้าใจ เราก็ต้องปรับเข้าหาเขาบ้าง โดยการเอายุคอื่นมาขาย เพียงแต่ต้อง

เอาคาแรคเตอร์ 80’ 90’ นำอยู่ แค่ให้มีแนวอื่น  มาเสริมด้วย ให้มันตอบโจทย์ลูกค้า แต่คาแรคเตอร์เราต้องไม่เสีย คือถ้าใครนึกถึง 80’ 90’ ต้องมาซื้อร้านผม เราไม่ได้ปั้นแบรนด์เพื่ออยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่มันคือตัวตนของผมจริง  ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องดูตลาดด้วย เพลงป็อปก็ต้องมี หรือช่วงนี้ฮิปฮอปมันกลับมา เราก็ต้องเดินไปพร้อม  กัน แต่ไม่ลืมเอาคาแรคเตอร์นำ

นอกจากนี้ เราต้องทำให้ทุกคนเชื่อว่าแผ่นเสียงที่มาจากเรา คือ First Pressing ร้านเราเน้นขายแผ่นที่ปั้มครั้งแรก เน้นปีที่ผลิต เหมือนหนังสือพิมพ์ครั้งที่หนึ่ อย่างสมมุติอัลบัมออกปี 1995 ก็ต้องเป็นแผ่นที่มันปั้มขายตอนนั้นเลย ไม่ใช่เพราะว่าเท่หรืออะไร แต่มันเพื่อความต้องการของวงนั้นจริง  ที่ต้องการให้ซาวด์มันออกมาเป็นอย่างนั้น สมมุติคนไปซื้อลิขสิทธิ์ของ Nirvana มารีมาสเตอร์ คงไม่โทรไปถาม Kurt Cobain หรอก ว่าอยากได้เสียงแหลมขึ้นไหม เพราะ Kurt มันตายไปแล้ว

การรีมาสเตอร์คือการผลิตใหม่ ซึ่งมันจะบิดเบือนความต้องการของวงในตอนนั้นไป เพราะเขาไม่มีโอกาสไปถาม อีกอย่างคือพลังวัยรุ่นของพวกนั้นด้วย มันอยากให้ซาวด์มันเป็นอย่างเงี้ ถึงมันจะนัวหรือมันจะไม่ชัด อย่าง Oasis ตอนแรกซาวด์มันโครตห่วยเลย เหมือนร้องอยู่ในโรงรถ แต่มันคือความต้องการ และมันกลายเป็นเสน่ห์ของยุคนั้น การรีมาสเตอร์อาจทำให้เสียงชัดขึ้น ใสขึ้น อาจตัดแต่งให้เสียงร้องดูเด่น แต่มันก็ไม่ใช่ความต้องการและความคิดของเขาตอนอายุ 20

นี่ล่ะ แผ่นเสียง First Pressing ถ้าจะเล่นจริง  เลยอยากแนะนำ แม้ราคาจะสูงหน่อย

Blur: The Best Of คือเจ้าของสถิติ

วง Blur ชุดรวม ผมขายแปดพัน ปกสวยมากด้วยหน้าของพวกมันสี่คน อย่างที่เล่าไว้ว่ามันเป็นยุคของเทปและซีดี ส่วนแผ่นเสียงพวกค่ายเขาไม่อยากให้ผลิตแล้ว ผลิตไปก็กลัวไม่มีคนซื้อ ช่วงปี 1995-1996 ถ้าทำแผ่นเสียงมาจะเป็นเรื่องที่เชย เพราะคนมันซื้อซีดีกันวีคละแสนกว่าแผ่น แผ่นเสียงขายได้วีคละร้อยกว่าแผ่น ค่ายมันก็เลยเลี่ยงแผ่นเสียง หรืออย่างวง Travis แผ่นมันก็แปดเก้าพัน เพราะว่าค่ายมันไม่ให้ออกอัลบัมนี้ “ค่ายบอกว่าเพลงมึงไม่ดังหรอก” ไอ้เ*ยนั้นก็บอกว่า “ถ้ามึงไม่ให้กูออก กูออกจากค่ายนะ” ค่ายมันก็บอกว่า “โอเค งั้นมึงทำซีดีอย่างเดียว แผ่นเสียงกูให้แค่สองร้อยแผ่นพอ แล้วสรุป มันเ*อกดัง แต่ค่ายมันเจ๊งไป มันก็เลยไม่ผลิตแล้ว เท่ากับว่าบนโลกนี้ก็ยังมีแค่สองร้อยแผ่น

คือความยากมันก็คือความต้องการนั่นแหละ พอผลิตน้อย แต่ความต้องการมันเยอะ ราคามันก็ต้องสูงขึ้น ยุคสองพันก็ยังแพงอยู่ ยุคสองพันต้น  คือหนักเลย แผ่นเสียงตายไปเลย ไม่มีผลิตเลย บางอัลบัมไม่มีแผ่นเสียงผลิตเลยด้วยซ้ำ เพราะว่า MP3 เข้ามาละ คือขนาดซีดียังเอาตัวไม่รอดเลย แผ่นเสียงไม่ต้องพูดถึง ตอนนั้น MP3 เป็นเรื่องที่ใหม่ มันได้ความสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องพกอะไรเลย วอล์คแมนเครื่องเดียวจบ แผ่นเสียงในยุคนั้นเลยยิ่งหายาก แต่ถ้าเป็นแผ่นเสียงพวกยุค 60’ 70’ 80’ ถึงวงมันจะดังมาก อัลบัมดังมาก  มันก็ถูก เพราะมันผลิตเยอะ มันมีฟอร์แมตเดียว ไม่มีเครื่องเล่นเทปหรือซีดี อัดด้วยไมโครโฟนตัวเดียวอยู่เลย ผลิตออกมาเยอะมาก น่าจะสัก 30 ล้านแผ่นได้ ยอดขายมันเยอะ มันก็ปั้มมาเยอะ เช่น Micheal Jackson ดังมาก  แต่แผ่นก็ถูกมาก  ด้วย เพราะมันมีแต่แผ่นเสียงในยุคนั้ ยิ่งดัง ยิ่งผลิตเยอะ ยิ่งถูก ส่วนยุคไหนยิ่งที่ใกล้ตาย ยิ่งแพง
ตกหลุมรักเสียงดนตรี

ผมเป็นเด็กที่โตมากับเสียงเพลง พ่อ แม่ ฟังเพลงบนรถ ไม่ว่าจะไปไหนก็มีเพลงประกอบ จากนั้นผมก็เรียนดนตรี เล่นดนตรีตั้งแต่ .6 จนเข้าเรียนมหาลัยดนตรี ทำทุกอย่างเกี่ยวกับดนตรี ตอนดึก  คือไม่นอนนะ ไม่เล่นเกม ไม่ได้ทำอะไร นั่งหาเพลงฟัง แล้วก็เก็บเงิน ตอนมัธยมหยุดเสาร์อาทิตย์ต้องไปซื้อซีดี ต้องไปซื้อเทป ค่าขนมก็จะซื้อแค่บุหรี่แล้วก็ไปร้านเพลง ผมสามารถใช้เวลาอยู่ตรงนั้นได้เป็นวันเลย ผมรักในเสียงเพลงมาโดยตลอด พอโตมาก็ทำงานเกี่ยวกับเสียงเพลง นอกจากร้านแผ่นเสียง ผมก็ทำเพลงโฆษณา หรือเป็นดีเจทุกอย่างมันวนกับเพลงหมดเลย แล้วจุดหนึ่งผมเก็บเทปกับซีดี จนรู้สึกว่ามันครบหมดแล้ว แล้วไปลองฟังเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่บ้านเพื่อน ก็รู้สึกว่า “ไอ้เ*ยนี่เป็นมากกว่าจริง ” โดยเฉพาะเรื่องซาวด์ มันคือเสน่ห์ ผมถอดแผ่นมาปัดฝุ่น ได้เอาเข็มลงเครื่อง ได้นั่งฟังจนจบอัลบัม มันคือเสน่ห์ที่มากกว่าฟอร์แมตอื่น จนวันหนึ่งก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ผมไปไหนก็มองหาแผ่นเสียง ถ้าไปเมืองนอก ผมก็ต้องเสิร์ชว่าร้านแผ่นเสียงมีอะไรบ้าง มันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งไปแล้ว

แน่นอนว่าต้องเป็น The Beatles

แผ่นเสียงแผ่นแรกของผมคือ The Beatles ชุด Let It Be ที่เมื่อครู่บังเอิญเปิดในร้านพอดี เพราะว่าด้วยความเป็น The Beatles จะอย่างไรก็ต้องมีก่อน นั่นล่ะของมันต้องมี!

ส่วนแนวเพลงที่ชอบ ผมจะอินกับศิลปินช่วงยุค 90’ เพราะผมโตมากับพี่ชายที่แ*งเปิดกรอกหูผมทุกวัน ผมนั่งเล่นเกมกับมันตอนประถม มันก็เปิดแต่เพลงร็อคในยุคนั้น เปิดเพลงผ่าน Winamp กรอกหูทุกวัน ส่วนวงโปรดก็ Manic Street Preachers ผมสักวงนี้ไว้ที่แขนเลย แล้วก็ The Strokes เป็นวงที่ทำให้ผมเล่นดนตรี พอฟังแล้วรู้สึกว่า “ไอ้เ*ยอยากเท่เหมือนพวกมั” ผมอยากเท่เหมือนมัน ก็เลยลองเล่นดนตรีดู สรุป ไม่ได้ครึ่งของพวกมันเลย

จะเหลือแต่ผู้ที่รักจริง

อย่างวงใหม่  เช่น  THE 1975 หรือ Arctic Monkey ก็ผลิตแผ่นเสียงออกมาด้วย เพราะความนิยมมันกลับมาจริง  ยอดขายแผ่นเสียงดีกว่ายอดขายซีดี เอาง่าย  คือพอมันเป็นกระแส มันก็ต้องอิงกระแส ต้องผลิตออกมาด้วย พอวงใหม่  มันผลิตออกมา เด็กรุ่นใหม่ก็ตามฟังกัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีนะ แล้วพอมันขึ้นถึงขีดสุด มันก็มีเอาอัลบัมที่หายาก  อย่างที่ผมไว้ Blur หรือ Oasis มีการซื้อลิขสิทธิ์มารีมาสเตอร์ใหม่ เพราะในเมื่ออันนี้มันแพง กูมีทุน กูก็ไปซื้อมาปั้ม (แต่ฉบับ First Pressing ก็เฟี้ยวกว่าเยอะอยู่ดี)

แต่เอาจริง  ผมว่าหลังจากนี้กระแสก็จะสาลงนะ มันจะกรองคนให้เหลือคนที่รักมันจริง  คนเหล่านั้นก็จะมีแผ่นเสียงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเช่นเดียวกัน เราคือตัวจริงแล้ว เรารักในฟอร์แมตนี้ เรารักในเสียงเพลง เวลามันก็กรองคนได้ ซึ่งก็อยากให้ทุกคนลองเล่นดูนะ ฟอร์แมตสำหรับคนที่รักในเสียงเพลง

แผ่นเสียงหรือเครื่องเสียง

หากจะหาเครื่องเล่นสักเครื่องก็ตั้งด้วยงบประมาณก่อนเลยครับ จริง  แล้วไม่อยากให้ลงเงินไปกับเครื่องเสียงเยอะ มาลงกับแผ่นดีกว่า เราฟังเพลง เราไม่ได้แต่งเครื่องเสียง จะมีจำพวกที่เครื่องเสียงกูต้องแพงซึ่งมันอยู่ที่งบเรา  แต่ต้องถามก่อนว่าเราชอบฟังเพลงหรือชอบแต่งเครื่องเสียง หมื่นเดียวก็ได้เครื่องดี  แล้ว หรือมาลองฟังเพลงเล่น  ที่นี่ก็ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้

อนึ่ง หนึ่งในที่มาของชื่อ Garage Records นั้นเลียนมาจากการที่นักดนตรีวัยรุ่นต่างชาติมักซ้อมกันในโรงรถ… ใช่แล้ว ก่อนวงร็อคชื่อก้องโลกจะมีแผ่นเสียงประกาศความเท่ของตน เรื่องราวมันเริ่มจากตรงนั้น

Garage Records Shop
FB : garagerecordsshop
Tel : 083-839-2016


Credits:
Text & Photography : Sithipong Tiyawarakul