รุจเป็นคนชอบเที่ยวตั้งแต่เด็กเลยรึเปล่า?
RUJ : ไม่เลย… ไม่เลยครับ คือด้วยความที่เราห่างกับพี่ชายเยอะ ห่างพี่ชายคนโต 10 ปี พี่ชายคนกลาง 9 ปี มันก็ทำให้เราอยู่คนเดียวบ่อย บวกกับตอนเด็ก ๆ บ้านกับโรงเรียนอยู่ห่างกันมาก ต้องเข้าไปเรียนในอำเภอ พอเข้าไปเรียนเราก็แทบไม่มีโอกาสไปไหนกับเพื่อนเลย เพราะบ้านไกลต้องรีบกลับ จึงอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ก็เลยจะทำให้เราเป็นเด็กขี้อายหน่อย ๆ ก็จะอยู่คนเดียว เล่นเกม เล่นคอมพิวเตอร์จนเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังเป็นแบบนี้อยู่
เป็นเด็กไม่ชอบการเดินทาง?
RUJ : คือผมมองว่ามันเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เสียเงิน เพราะว่าเราไม่ได้ออกไปไหนบ่อย ๆ ทุกครั้งที่ออกไปก็ต้องเสียเงิน กลับมาก็ไม่ได้อะไร นั่นคือความคิดสมัยก่อนนะ บางทีมีแต่เสีย เวลาเดินทางไปต่างที่… เมื่อก่อนผมอยู่ขอนแก่น พอต้องเข้ามาเยี่ยมยายที่กรุงเทพตัวเราก็จะรู้สึกว่าไม่อยากมา ไม่อยากเดินทางไกล พอต้องเข้ามาก็จะไม่ค่อยสบายใจ มีปัญหากังวล ถ่ายไม่ออกบ้าง เป็นอาการไม่สบายตัว ไม่สบายใจนิด ๆ หน่อย ๆ ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เลือกเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่นด้วย เพราะว่ามันใกล้บ้าน
อะไรคือจุดเปลี่ยนกลายมาเป็นคนที่รักการเดินทางท่องเที่ยว?
RUJ : ประมาณ 4 ปีที่แล้วครับ เป็นช่วงที่มีเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่น แล้วรายการฮัลโหลวันหยุดเขาหาพิธีกร ก็จะตั้งโจทย์ให้มีพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ไปเป็นเหมือนตัวแทนคนไทยที่ไปให้กำลังใจคนญี่ปุ่น ซึ่งมันก็ต้องมีพิธีกรดำเนินรายการเขาก็อยากได้ศิลปินของแกรมมี่ ซึ่งก็จิ้มมาที่ผมพอดี ไปที่ซัปโปโรประมาณ 6-7 วัน ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่ได้อยากไปนะ ก็จะมีช่วงเวลาที่ต้องทำงานกับพี่เบิร์ดประมาณ 2 วัน ที่เหลือเราก็จะทำหน้าที่พิธีกร พาผู้ชมไปท่องเที่ยว ซึ่งพอไปเราก็เริ่มรู้สึกว่า อืม… มันก็โอเคนะ
ก็เลยทำให้ชอบการท่องเที่ยวตั้งแต่ตอนนั้น ?
RUJ : คือมันเหมือนเริ่มมีอะไรเปลี่ยนไปมากกว่า คืออาจจะเพราะว่าเป็น “ญี่ปุ่น” ด้วย ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันแตกต่าง จริง ๆ ถ้าสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ซัก 2 ปี ผมก็อาจจะบอกว่า มันเป็นเพราะผมได้ไปเห็นโลกภายนอก แต่พอมาตอนนี้ผมคงบอกว่าจริง ๆ มันน่าจะเป็นเพราะมันเป็นญี่ปุ่น เพราะเราเป็นวัยรุ่นตอนปลาย ที่กำลังจะเข้าสู่วัยแก่(หัวเราะ) เราก็เติบโตมาพร้อมกับอิทธิพลของญี่ปุ่น มีความผูกพัน ดูการ์ตูน ฟังเพลงญี่ปุ่น กินอาหารญี่ปุ่น เหมือนเรารู้สึกว่าคุ้นเคยกับมัน ถ้าเราไม่รู้สึกคุ้นเคยเราจะรู้สึกเฉย ๆ แต่พอเราคุ้นเคย มันเหมือนกับกลับบ้าน คล้ายกับเป็นบ้านอีกหลังหนึ่ง ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้าถามว่าเราประทับใจทริปนี้มั้ย… จริง ๆ ก็อาจจะไม่ใช่ความประทับใจนะ แต่ถ้าถามว่าให้ไปอีกจะไปมั้ย คำตอบมันก็จะเริ่มเปลี่ยนจากที่ “ไม่ไป” เราก็จะรู้สึกว่า “อืม… ก็อาจจะไป”
หลายคนไม่รู้มาก่อนเลยว่ารุจมีความสามารถในการถ่ายภาพระดับมืออาชีพ เริ่มถ่ายภาพตั้งแต่เมื่อไหร่ จำกล้องตัวแรกของตัวเองได้มั้ย?
RUJ : กล้องตัวแรกของตัวเองก็จะเป็นซัก ม.3-ม.4 ครับ เป็นกล้องคอมแพ็คกล้องฟิล์มธรรมดา คือการมีกล้องตอนนั้นเราไม่ได้อยากถ่ายวิวหรืออะไรเลย คือแค่อยากมีกล้องเพื่อจะไปขอผู้หญิงที่ชอบถ่ายรูป แต่ด้วยความที่เป็นคนขี้อาย ก็จะแบบ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่พอถ่ายกล้องฟิล์มมันก็จะมีปัญหาอีกก็คือ สุดท้ายเวลาถ่ายรูปมันต้องเอาไปล้าง ซึ่งร้านที่ล้างฟิล์มเขาก็จะรู้จักกับพ่อแม่เรา เราก็เลยจะไม่ค่อยชอบการที่จะให้ใครเห็นว่าถ่ายรูปอะไรมา ก็เลยถ่ายได้แค่แป๊ปเดียว แล้วก็ตั้งทิ้งเอาไว้ไม่ถ่ายอีกเลย จนมาหลังจากนั้นก็ค่อยกลับมาถ่ายตอนที่มือถือมันมีกล้องแล้ว
แล้วมาเริ่มที่จะถ่ายภาพจริงจังตั้งแต่ตอนไหน?
RUJ : คือผมจะเป็นคนที่มีช่วงเวลาที่ชอบอ่านหนังสือเยอะมาก ก็จะเริ่มเอาแคปชั่นจากหนังสือ ถอดเป็นคำมาใส่ในอินสตาแกรม แรก ๆ เราก็ถ่ายเป็นปกหนังสือมาบ้าง จนเราก็เริ่มอยากมีคำคมเป็นของตัวเอง พอเริ่มเขียนเองมันก็จะไม่มีรูปละ เพราะไม่ได้มาจากหนังสือ เราก็ต้องไปหารูปมาใส่ หาในกูเกิ้ลมาแปะในไอจีของตัวเองบ้าง ซึ่งมันก็จะเริ่มมีเรื่องของลิขสิทธิ์ ตอนนั้นมันก็เป็นช่วงเวลาพอดีกับที่เรากลับมาจากซัปโปโร แล้วตอนที่เราไปถ่ายรูปที่ซัปโปโรมา คือใช้มือถือถ่ายทั้งหมด ซึ่งมันถ่ายภาพอะไรไม่ได้เลยด้วยระยะ ด้วยชัตเตอร์สปีด ก็เลยอยากได้กล้อง พอจะกลับไปญี่ปุ่นครั้งต่อไป ก็เลยตัดสินใจว่า โอเค เราจะซื้อกล้อง
มีพื้นฐานความรู้หรือเรียนถ่ายภาพมาก่อนรึเปล่า?
RUJ : เอาอย่างนี้ดีกว่า คือตอนที่ไปซื้อกล้องเรา Search ในเว็บเรียบร้อยแล้วว่า อยากได้กล้องตัวนี้ Body รุ่นนี้ ก็คือหามาแค่นั้น ไปถึงร้านก็ซื้อ พอซื้อปุ๊ปพนักงานขายเขาก็ถามเราว่า น้องไม่เอาเลนส์หรอ หรือว่ามีอยู่แล้ว คือตอนนั้นก็คิดในใจขึ้นมาเลยแบบ… เห้ย มันต้องใช้เลนส์ คือเราไม่มีความรู้เลย ซื้อ DSLR แต่ไม่รู้ว่ามันต้องซื้อเลนส์ นึกว่าเป็นเหมือนกล้องที่เราใช้มาสมัยก่อนคือกล้องคอมแพ็คที่กดถ่ายได้เลย ซึ่งตอนแรกวางงบเอาไว้ที่ 5-6 หมื่น พอโดนเลนส์เข้าไปก็ 9 หมื่น นั่นก็คือสองวันก่อนที่จะออกทริปกลับไปญี่ปุ่นอีกครั้ง
ทริปแรกกับการถ่ายภาพของรุจ?
RUJ : เละมาก ๆ คือถ่ายไม่เป็นเลย กล้องอาจจะดี แต่เราถ่ายไม่เป็น ปรับค่าทุกอย่างเป็น Auto หมด ความรู้เรื่อง F, Shutter Speed, ISO ไม่รู้เรื่องเลย คือตอนถ่ายเหมือนจะดีนะ แต่พอกลับบ้านมาเปิดกับคอมพิวเตอร์ คือเบลอหมดเลย เสียเกือบทุกรูป แต่เพราะว่าเราซื้อกล้องมาแพงด้วย ก็เลยต้องพยายามที่จะใช้ คือถ้าผมเริ่มชอบ ผมจะมีความพยายามในการทำอะไรสูงกว่าคนอื่น จะฝึก จะซื้อหนังสือมาอ่านเยอะมาก ดู Youtube Google ช่วงแรก ๆ ก็จะมีออกทริปบ้าง แต่ก็ไม่เยอะนะ เพราะผมไม่ชอบเดินทาง ไม่ชอบอากาศร้อน(หัวเราะ)
รีวิวการเดินทางท่องเที่ยวลง Pantip ?
RUJ : คือตอนนั้นผมเริ่มชอบการท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นละ มีโอกาสไปดูซากุระ ไปดูใบไม้สีแดง พอกลับมาจากทริปพวกนั้นเราก็เริ่มอยากไปที่ที่เป็นหิมะอีกครั้ง เพราะส่วนตัวผม ญี่ปุ่นของผมมันเริ่มที่ซัปโปโร ก็เลยอยากไปดูหิมะอีกครั้ง ก็เลยชวนเพื่อนไป คือผมไปเห็นภาพหมู่บ้าน ชิราคาวาโกะ ซึ่งเราคิดว่ามันต้องสวยมาก เราแค่คิดว่าอยากไป ก็เลยส่งให้เพื่อนดู แล้วก็รวบรวมคนไปกัน 4 คน จัดทริปกันแบบไร้ความรู้ ไม่เคยไปต่างประเทศด้วย แต่มีเพื่อนในกลุ่มคนนึงที่พอพูดภาษาญี่ปุ่นได้นิดหน่อย ก็ลุยกันไปเลย ซึ่งมันก็มีเรื่องที่ไม่ได้คิดไว้ เช่นไปเจอมหาชนคนจีนเต็มไปหมด ภาพที่ถ่ายก็จะเป็นภาพตอนกลางคืน ซึ่งตอนนั้นเราก็ถ่ายกลางคืนได้แล้วเริ่มมีขาตั้งกล้อง ก็เลยถ่ายมา พอกลับมาเราเริ่มรู้สึกว่ารูปก็โอเคนะ ก็เลยลองเขียนเรื่องหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ลงใน Pantip ดูเพราะมันยังไม่ค่อยมีคนเขียนถึง ตอนแรกก็ยังไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นเรา แต่มันก็มีคนมาดูเยอะมากขึ้น จนกลายเป็นกระทู้แนะนำ สุดท้ายก็ความแตก เพราะว่าเหมือนมันมีรูปนึงที่ถ่ายกันสี่คน แล้วแต่ละคนเข้ามินิมาร์ทมา ถือถุง เขาก็เลยไปสปอตเห็นเรา ก็รู้ว่าเป็นรุจ พอรู้มันก็เลยโหมกระแสไปอีก เหมือนนักร้องมาเขียนกระทู้ท่องเที่ยวอะไรอย่างนี้ ผลตอบรับก็ดีครับ ใครมาคอมเม้นท์ถามอะไรเราก็ตอบหมดเลย ตอนนั้นก็คือเที่ยวจริง ๆ นะ เราถ่ายตั้งแต่ป้ายรถเมล์ รถบัส คือขยาย บอกหมดเลยว่าเป็นยังไง
เป็นที่มาของเพจ Outside The Room?
RUJ : คือพอหลังจากนั้นเราก็จะเริ่มเที่ยวคนเดียวละ ครั้งแรกไป 10 วัน แล้วก็เพิ่มอีก 3 วัน แล้วเราก็เอาข้อมูลที่เราเที่ยวมาสร้างเป็นเพจนี้ขึ้น
จากเด็กที่แค่ไปกรุงเทพก็ไม่ชอบแล้ว อะไรที่ทำให้เดินทางไปอยู่ญี่ปุ่นคนเดียวได้เกือบครึ่งเดือน?
RUJ : ผมว่ามันน่าจะเป็นเพราะความชอบด้วย เราน่าจะชอบบ้านเมืองเขาแหละ แล้วก็เรารู้ว่ามันปลอดภัยไง คือญี่ปุ่นมันขึ้นชื่อในด้านความปลอดภัยด้วย เราก็ไม่กลัว ถือกล้องราคาเท่าไหร่ก็ได้ พอทริปที่ไปคนเดียวเนี่ยเราก็ตามใจตัวเองได้แล้ว ที่แรกที่ไปก็ Unseen เลย เพราะตอนนั้นอยากถ่ายดาว ก็เลยไปหาวิธีการขึ้น Rope way ไปนอนโรงแรมที่ความสูง 2700 เมตรคนเดียว หลัง ๆ มามันก็เลยค่อย ๆ เพี้ยนมาเรื่อย ๆ จากที่เคยอยากเที่ยวสนุก ๆ อยากไปที่สวย ๆ ก็จะกลายเป็นเราอยากไปเฉพาะที่ ๆ เราอยากถ่ายรูปละ คือเน้นแล้วว่าจะถ่ายอะไร อย่างปีแรกที่บอกว่าเริ่มเที่ยวคนเดียวก็จะไปประมาณ 4 ครั้ง ปีต่อมาไปประมาณ 7-8 ครั้ง พอถึงปีที่แล้วทะลุไป 15 ครั้ง เฉพาะญี่ปุ่นนี่ไปมา 30 กว่าครั้งแล้ว ทุกวันนี้ถามว่าอยากไปที่อื่นมั้ย ก็มีบ้าง ก็อยากไปนิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ แต่ถ้าถามว่าอยากไปมากมั้ย คือไปก็ได้ แต่ถ้าถามว่าอยากไปญี่ปุ่นมั้ย ไปได้เลย คืออยากไปวันนี้ พรุ่งนี้จะซื้อตั๋วเลย
Japan best of seasons เกิดขึ้นได้ยังไง?
RUJ : คือต้องย้อนไปก่อนว่ามันมีหนังสือ ที่เราทำก่อนหน้านี้ 2 เล่ม คือสำนักพิมพ์อมรินทร์เขาอยากได้รีวิวที่ผมเคยลง Pantip มาทำเป็นหนังสือขาย ผมก็เลยคิดว่าถ้าเราเอารีวิวที่เราเขียนให้คนอ่านฟรี เขียนฟรี ไปทำขาย มันเหมือนหลอกคนไปรึเปล่า ก็เลยบอกเขาว่า เอางี้เดี๋ยวผมคิดคอนเท้นท์ให้ใหม่ ก็เอาคอนเท้นท์ที่เรามีกับรูปที่เรามีทั้งหมดมาทำ พอเราทำเล่มนั้นแล้ว เราก็ตั้งโจทย์ใหม่อีกว่าเราจะทำหนังสือ 4 ฤดูของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็ทำให้ผมต้องบินไปเก็บภาพต่าง ๆ ในญี่ปุ่นแล้วทำหนังสือเล่มใหม่
รุจทำเองในทุกกระบวนการ?
RUJ : ใช่ครับ คือจริง ๆ เอางี้ดีกว่า ต่อให้มัดรวมกันมา 3 เล่มเลยนะ แล้วขายทุกวันนี้รายได้ 3 เล่มยังไม่cover การเดินทางเลย หนังสือสมัยนี้ขายได้น้อยอยู่แล้ว ยิ่งเฉพาะทางอย่างท่องเที่ยวมันจะมีแค่คนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ เสิร์ชหาได้ในอินเตอร์เน็ตเยอะแยะมากมาก เพราะฉะนั้นมันคือการทำจากความรู้สึกเราที่อยากทำ จริง ๆ ถามว่าขอสปอนเซอร์ได้มั้ย สายการบินอะไรอย่างนี้ เราก็รีวิวให้เขา แต่ถ้าเราต้องเขียนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสายการบิน เช่น 3 หน้าแรกพูดถึงวิธีการเช็คอิน เรารู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับหนังสือของเรา อยากได้หนังสือที่เป็นเพียงของเรา ถ้าไม่ได้ถ่ายรูปจะเป็นคนชอบท่องเที่ยวขนาดนี้มั้ย? ไม่ คือช่วงหลัง พอเที่ยวมาหลายครั้งแล้ว มันจะกลายเป็นก่อนเที่ยว ผมจะดูรูปเอาไว้เลย แล้วเอารูปมาวางเรียงกัน ว่าอยากได้รูปไหนบ้าง จากนั้นถึงค่อยจัดทริปรวม เพื่อไปเก็บรูปเหล่านั้นทั้งหมด
แล้วถ้าไม่ได้เที่ยวจะชอบถ่ายรูปขนาดนี้มั้ย?
RUJ : ก็น่าจะไม่เหมือนกัน สองอย่างนี้มันมาคู่กันสำหรับผม ถ้าไม่ได้เที่ยวทุกวันนี้ผมก็ไม่จับกล้องเลย ไม่ได้เป็นคนที่อยากถ่ายทุกอย่าง ถ้าจะไปเที่ยวฮ่องกงไหว้พระเฉย ๆ ก็อาจจะไม่เอาไปเลยก็ได้ ผมก็จะแบ่งชัดเจนเลยว่าไปทำไม บางที่ก็เอามือถือถ่ายก็พอ
บอกกับคนที่ไม่ชอบการเดินทางหน่อย ว่าการเดินทางให้อะไรกับผู้ชายที่ชื่อ “รุจ” บ้าง?
RUJ : ผมรู้สึกว่าถ้าผมไปญี่ปุ่นก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนั้นอาจจะไม่ชอบก็ได้นะ ทุกอย่างมันน่าจะมีช่วงเวลาของมัน คนส่วนมากผมแนะนำว่า ให้ออกไปข้างนอก แต่มันไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องชอบเหมือนกัน วันนี้อาจจะไม่ชอบ วันหน้าอาจจะชอบก็ได้ สมมติคุณไปเที่ยว แต่ว่ายังมีห่วง ผมว่าโมเม้นท์พวกนี้มันทำให้ไม่สบายใจหรอกที่จะไป แต่ถ้าจะไปจริง ๆ มันต้องรู้สึกฟรีนะ ไม่ต้องมีห่วง ผมว่าแบบนี้จะดี ผมว่าทุกอย่างมันมีวาระของมัน…
ผลงานล่าสุด
RUJ : ตอนนี้ก็มีเพลงครับ Single ใหม่ ชื่อเพลง “วันที่ฉันพบเธอ” ร้องกับน้องขนมจีน แล้วก็มีโอกาสไปถ่ายเอ็มวีที่โตเกียวด้วย แล้วก็มีหนังสือ ตอนนี้มี 3 เล่ม เล่มแรก Japan best destinations อาจจะหายากหน่อย แล้วก็มีเรื่อง ไม่มีการเดินทางครั้งไหนที่สูญเปล่า เป็นเล่มเล็ก ๆ หน่อย แล้วก็จะมีเล่มล่าสุด Japan best of seasons ก็จะพูดถึงการท่องเที่ยวญี่ปุ่น 4 ฤดู ผมว่าการดูรูปมันสร้างแรงบันดาลใจได้มากกว่าอ่านตัวหนังสือนะ เพราะงั้นรู้สึกว่าเล่มนี้น่าจะตอบโจทย์ให้กับคนหาแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยวอยู่ ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยครับ…
“ถ้าสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ซัก 2 ปี ผมก็อาจจะบอกว่า มันเป็นเพราะผมได้ไปเห็นโลกภายนอก แต่พอมาตอนนี้ผมคงบอกว่าจริง ๆ มันน่าจะเป็นเพราะ ญี่ปุ่น”
Credits
Text : Thima maipang
Photographer : Patarit Pinyopiphat
Special thanks photo from : Outside The Room