เส้นทางดนตรีของ “THE TOYS” กับบทเพลงใหม่ในสไตล์ที่แตกต่างออกไป

ช่วงชีวิตวัย “มัธยมปลาย” เป็นช่วงวัยแห่งการเปลี่ยนผ่านอันแท้จริง เส้นทางชีวิต อนาคต และความสำเร็จ ถูกก่อร่างสร้างรูปจากวัยเด็ก ไปสู่ความฝันของการเติบโตในห้วงเวลาเหล่านี้ ไม่แตกต่างไปจากชีวิตของ “ทอย” ธันวา บุญสูงเนิน ที่ได้พบกับเวลาในการเปลี่ยนผ่านอันสำคัญของช่วงชีวิต เมื่อเขาก้าวตามเสียงร้องเรียกของโลกดนตรี เพื่อหาคำตอบให้กับโลกที่แตกต่างไป ที่จะสร้างเขาให้เป็นเขา และเป็นที่รู้จักในนามของ “The Toys” อย่างทุกวันนี้

ชีวิตวัยเด็กของทอย ?
TOYS : ความฝันตอนเด็ก ๆ จริง ๆ ผมอยากเป็นนักขับรถแข่งครับ ผมชอบรถมาก ไม่มีอะไรเกี่ยวกับดนตรีเลย แต่ผมโตมากับครอบครัวที่เล่นดนตรีกันอยู่แล้ว คุณแม่กับคุณป้าเป็นนักร้อง คุณพ่อก็เป็นนักดนตรีเล่นคีย์บอร์ด เปียโน เวลาเราไปส่วนไหนของบ้านมันก็มักจะมีแต่เสียงเพลง พอโตขึ้นมาหน่อยผมจำได้ว่ามีเพื่อนของคุณพ่อมาที่บ้าน แล้วเขาก็หยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมาเล่น ผมแอบมองดูอยู่ก็รู้สึกว่า ของสิ่งนี้มันน่าสนใจ น่าจะเอามาทำอะไรได้ หลังจากนั้นมันก็เลยจุดประกาย ทำให้ผมอยากรู้ว่า “ไอ้สิ่งนี้” มันทำงานยังไง ซึ่งของสิ่งนั้นก็คือ “กีตาร์” ครับ


อะไรที่ทำให้หันมาสนใจงาน “Produce” ?
TOYS : คือมันมีช่วงนึงที่ น่าจะราว ๆ ม.2 ตอนนั้นผมพอเล่นคีย์บอร์ดได้อยู่บ้างนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วมันจะมีงานเล็ก ๆ ที่โรงเรียน เขาจะต้องทำเพลงเพื่อประกวดแข่งขันกับโรงเรียนอื่น ๆ แล้วเรามีไอเดียในการเรียบเรียงเพลงอยู่นิดหน่อยเลยลองเอาไปเสนอ ตอนนั้นในวงก็จะมีเด็กตั้งแต่ม.1-ม.6 ผมก็เลยขอนำเสนอดู แล้วถ้าเขาสนใจรูปแบบโชว์มันก็อาจจะดีขึ้น ซึ่งก็ดีที่ไอเดียมันได้ใช้ครับ ซึ่งพอไปประกวดก็ได้ที่ 3 มา เป็นงานเล็ก ๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย คือในตอนนั้นผมคิดแค่ว่า ผมอยากนำเสนอไอเดียของตัวเอง มันจะเป็นยังไงก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้คิดว่าจะต้องได้ที่เท่าไหร่ แต่เรารู้สึกดีที่ได้นำเสนอไอเดียที่เราอยากบอก  แล้วเริ่ม Produce งานจริงจังตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
TOYS : คือผมเริ่มจากการทำเล่น ๆ เหมือนผมอยากหาคำตอบให้อะไรบางอย่างมากกว่า มันต่อจากความสนใจที่มีมาก่อน พอเริ่มเข้าม.4 ผมก็เริ่มทำดนตรี เรียบเรียงเองทุก ๆ ชิ้น ตั้งแต่กีตาร์ กลอง เบส แซกโซโฟน ทำมิกซ์มาสเตอร์ริ่ง ซึ่งก็คิดแล้วทำออกมาในห้องคนเดียว แล้วมันมาพร้อมกับที่ตอนนั้นผมได้รับโอกาสจากพี่อะตอม ไมค์ไอดอล คือเรารู้จักกันส่วนตัวมาก่อนแล้ว พี่เขาอยากทำซิงเกิ้ลเพลงนึงที่ปล่อยเองเล่น ๆ ก็เลยคุยกัน ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำได้รึเปล่า แต่พอมีโอกาสก็ตกลงที่จะทำเลย ก็เลยกลายเป็นเพลง “อานุภาพเล็ก ๆ” ของพี่อะตอม แล้วก็เป็นงานแรกจริง ๆ ของผมในฐานะโปรดิวเซอร์ด้วย


Home Studio ของทอย ?
TOYS : หลังจากที่โปรดิวซ์ให้พี่อะตอม ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่ผมชอบการโปรดิวซ์มาก ผมตามหาคนที่มีความรู้ มีประสบการณ์สอนผมได้ เวลาไปซ้อมกับวง ผมก็จะไปหาคนที่คุมห้องอัด ซาวด์เอนจีเนียร์ ผมก็จะไปศึกษาว่าเขาทำกันยังไง ไปแอบดูวงจร ว่าเดินยังไง ทำไมซาวด์เป็นแบบนี้ แล้วก็ใช้เวลารวบรวมข้อมูล เก็บความรู้ทั้งหมดไปทำห้องอัดเอง ผมอยากรู้ว่าทำยังไงที่เราจะทำสตูดิโอได้ โดยไม่มี Resonance คือผมอยากทำห้องอัดเล็ก ๆ แต่ทำให้มีคุณภาพ

จากคนที่ไม่ได้มีความฝันด้านดนตรี อะไรที่ทำให้กลายเป็นคนที่มีสร้างห้องอัดที่บ้าน ?
TOYS : มันเหมือนผมแค่อยากทำเล่น ๆ ตอบสนองความรู้ตัวเอง ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมห้องอัดใหญ่ ๆ แต่อัดออกมามันทำได้แค่เท่ากับที่เราอัดที่บ้าน ผมอยากสร้างคุณภาพว่าผมจะทำห้องอัดคุณภาพเล็ก ๆ ซักห้องได้มั้ย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวเลยนะว่าจะโปรดิวซ์งานให้ใคร ผมแค่คิดถึง home studio เล็ก ๆ ของผมเอง

เป็น Producer ตั้งแต่อายุน้อย อะไรที่ทำให้คนยอมรับเรา?
TOYS : ผมว่ามันเป็นไปตามโอกาสมากกว่า คือตอนแรกผมก็รู้สึกนะว่าผมเด็กเกินไป ก็ไม่รู้เป็นเพราะอะไร มันเหมือนกับพอเรามีห้องอัดของตัวเอง มีเพื่อนเยอะ แล้วมีคนมาใช้ห้องอัดเยอะ เขาก็อาจจะไปพูดต่อกัน ๆ แล้วประกอบกับตอนนั้นผมประกวดกีตาร์ได้รางวัลมาด้วย ก็อาจจะทำให้คนพูดกันไปอีก ช่วงนั้นก็เลยมีคนมาบ้านเยอะมาก มันก็คงเป็นโอกาสอีกหละครับ ก็นำไปสู่การพลัด ๆ หลง ๆ ไปรู้จักใครต่อใครมากขึ้น ทำงานโปรดิวซ์ให้ใครต่อใครมากขึ้นที่บ้าน แล้วเราก็มีโอกาสได้โปรดิวซ์ให้วงชบา วงพริกไทย เบียร์ เดอะว้อยซ์ แล้วก็พี่ทอม โปเตโต้ อะไรพวกนี้ก็จะตามมา พอรู้ตัวอีกทีก็คือผมก็นั่งทำงานพวกนี้ไปแล้ว  คือความเด็กอาจจะไม่ใช่ปัญหา มันอยูที่พอเราได้เจอได้พูดคุยแลกเปลี่ยนไอเดียกันมันก็โอเคนะ การโปรดิวซ์มันเป็นแค่การสร้างเพลงให้คมขึ้น คือผมไม่ได้ไปเปลี่ยนอะไรเขาเลย เหมือนเราแค่อุดรอยรั่วบางส่วนจากเพลงของเขา เราก็เข้าไปทำให้มันสมบูรณ์แบบขึ้นในแบบที่ผมคิด แต่ไม่ได้ไปทำลายหรือเปลี่ยนเพลงคนอื่น

 

จากบทบาท Producer สู่ศิลปิน เส้นทางนี้เริ่มต้นจากอะไร?
TOYS : คือตอนนั้นผมทำเพลงขึ้นมา แล้วเอาไปเสนอให้ค่าย แต่เขาไม่ได้ซื้อ คือทางค่ายนั้นเขาให้เหตุผลมาว่า “มันคงไม่ดัง”  ซึ่งพอกลับมาผมก็รู้สึกว่า ผมเสียดายเพลงเพลงนั้น คือเราใช้เวลาทำ พอกลับมาก็เลยลองเอามาทำเล่นสนุก ๆ  แล้วก็เอาไปลงในยูทูบ ผ่านไปปีหรือสองปีผมไม่แน่ใจ วันนึงผมก็ได้ยินเสียงเพลงที่ตัวเองเคยอัดไว้ดังขึ้นบนรถแท็กซี่ ซึ่งความรู้สึกตอนนั้นคือ มันหลอนมาก ๆ ครับ เรารู้สึกว่าใครมาเปิดแกล้งรึเปล่า เท่าที่ผมจำได้คือตัวเลขคนฟังครั้งล่าสุดก่อนหน้าที่ผมจะได้ยินคือมันน้อยมาก ๆ ถ้าพูดเป็นตัวเลขนี่น่าเกลียดเลย หลักร้อย หลักพัน ซึ่งพอเราได้ยินเพลงนี้อีกครั้งก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิด แล้วดู ปรากฏว่ายอดวิวมันเพิ่มขึ้นมาเยอะมาก

สู่การเป็น The Toys ?
TOYS : คือหลังจากเพลงหน้าหนาวที่แล้ว มันก็มีคนรู้จักเราในฐานะคนร้องเพลงมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีหลายค่ายที่ติดต่อเข้ามา จนพี่บอล Scrubbเข้ามาคุยด้วย คือพี่บอลทำงานเป็นผู้บริหารของ What The Duck อยู่ แล้วผมรู้สึกว่า What The Duck มีแนวคิดที่ผมชอบ เขามีแนวคิดที่คิดว่า ศิลปินจะเป็นยังไงก็ได้ ให้เราเป็นแบบเรา แต่เขาจะทำให้เราคมขึ้น ให้ชัดเจนขึ้น มันเป็นแนวคิดเดียวกับเวลาที่ผมทำงาน โปรดิวซ์ให้ศิลปิน ผมเลยคิดว่าแนวคิดแบบนี้มันเป็นการไม่วางกรอบให้กับตัวใคร เพราะเขาไม่ใช่หุ่นเชิด ศิลปะมันเกิดขึ้นกับตัวของศิลปินเอง ผมชอบไอเดียนี้ เหมือนเราทำอะไรก็ได้ ไม่มีกรอบ ทำไปเลย ส่วนชื่อ The Toys ก็คือ The เป็น Article เหมือนเป็นสิ่งเดียว แต่คำว่า Toys มันเติม S เข้าไป เหมือนผมทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ด้วยตัวคนเดียว ทำหลายตำแหน่งไม่ได้เป็นแค่นักร้อง แต่เราเล่น เราทำดนตรี ทำหลาย ๆ อย่าง

 

สองฤดูกาล กับเพลงที่ทำให้คนทั้งประเทศรู้จักทอย ที่มาของสองเพลงนี้?
TOYS : คือผมมีแรงบันดาลใจจาการเฝ้ามองอาการของคนรอบ ๆ สำหรับหน้าหนาวที่แล้วเนื้อเพลงมันมาจากการนั่งคุยกันกับเพื่อน เรานั่งคุยกันอยู่หลาย ๆ คน แล้วก็ถามกันว่า “ไปไหนกันดี อากาศหนาว” เพื่อนก็ซึม ๆ ไป แล้วก็บอกว่า “ไม่รู้ไปไหนดี ปีที่แล้วยังอยู่กับ(ชื่อแฟน)” คือเรื่องมันดูไม่ได้มีอะไร แต่ผมชอบเวลาที่ใครซักคนเล่าอะไรออกมา แล้วสีหน้าของเขาออก ผมเชื่อว่าเวลาเอามาเขียนอยู่ในเพลงแล้ว มันจะทำให้คนรู้สึก  ในเพลงก่อนฤดูฝนก็จะคล้าย ๆ กัน แต่เราเพิ่มดนตรีที่มีซาวด์แอมเบี้ยนท์แปลก ๆ เข้ามา

 

ฤดูร้อนหายไปไหน?
TOYS : ไม่มีฤดูร้อนครับ จริง ๆ มันเป็นชื่อเพลงครับ เพลงชื่อ “ไม่มีฤดูร้อน” ที่ผมทำให้กับ มายด์ นันท์นภัส ลองไปหาฟังกันได้…

“ผมว่ามันเป็นการวัดชีวิตของผมเองด้วย ชีวิตเราเกิดมาครั้งเดียว ผมคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเอาเวลาทั้งหมดมาเดินตามเส้นทางที่ใคร ๆ บอกให้เราเดิน”

มาถึงสองเพลงที่ The Toys ปล่อยออกมาบ้าง Toy และ 04.00 ?
TOYS : เราทำเพลง “Toy” ออกมาผ่านมุมมองของผม เนื้อหาของเพลงก็จะเป็นเกี่ยวกับภาพสะท้อนในกระจก เป็นเพลงที่ผมเล่าเรื่องเกี่ยวกับเรื่องจริงที่ผมได้เจอ ก็เลยสะท้อนมันผ่านเรื่องกระจก ผ่านแนวเพลง Alternative Rock ที่คนไม่เคยเห็นผมร้องเพลงในรูปแบบนี้มาก่อน ผมอยากทำอะไรที่มันค้านกับภาพจำของคน อยากเล่น สร้างความประหลาดใจ ทำให้คนรู้สึกว่า “ทำไมเราถึงเดาอะไรในตัวทอยไม่ได้เลย”
ในขณะที่ “4.00” แนวเพลงจะเป็น R&B-Soul  มันเป็นเพลงที่เกิดจากวันนึงผมตื่นขึ้นมาแล้วนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมาจากฝันตอนตีสี่ เวลาเราฝันถึงใครซักคนสำหรับบางคนเขาอาจจะมอง อาจจะคิดว่าเป็นฝันดีก็ได้ แต่ขณะที่เราฝันถึงเขา ความเป็นจริงเขาอาจจะไม่ได้อยู่กับเรา อาจจะอยู่กับใครซักคน ก็เลยทำให้เรานอนไม่หลับ

 

ใน “ก่อนฤดูฝน” คนประหลาดใจกับท่อน Flip ที่ทอยสร้างขึ้น เราจะได้ประหลาดใจกับอะไรอีกบ้างใน 2 เพลงใหม่?
TOYS : ในเพลง 04.00 จะมีสัดส่วนการร้องเพลงที่เป็นท่อน 1-2-3 ครับ เรียกว่า Triplet อยากให้ลองติดตามกันดู

การทำงานให้ศิลปินคนอื่นกับการทำงานเพลงของตัวเองแตกต่างกันมั้ย?
TOYS : สำหรับผมว่าทำให้คนอื่นมันค่อนข้างง่ายกว่า ผมว่าเราเห็นคาแร็กเตอร์เขาผ่านสายตาเรา แต่การทำงานให้ตัวเองผมมองไม่เห็นตัวเอง ในการทำงานให้ The Toys ผมมองไม่เห็นเขาเลย เหมือนผมทำงานให้พี่เบล สุพล ให้นิวจิ๋ว ผมรู้จักเขา เห็นเขาอยู่แล้ว แต่กับตัวเอง ผมไม่เคยเห็นบางมุม ถ้านั่งเราเป็นยังไง บุคลิกเวลาเราพูดคุยเป็นยังไง

 

มองคาแร็กเตอร์ตัวเองว่าเป็นคนยังไง?
TOYS : ผมไม่รู้เลยครับ แต่จากหลาย ๆ เสียงหลาย ๆ คนเขาบอกว่าผมติสท์ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า ติสท์คืออะไร คือผมก็เป็นของผมแบบนี้ คือผมอาจจะไม่ใช่คนพูดเก่ง ไม่ใช่คนเรียบเรียงคำพูดเป็น คิดคำสวย ๆ ไม่ได้ แต่ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมพูดไปผมพูดความจริง ก็เลยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เพลงของผมมีเนื้อเพลงไม่เยอะมาก เป็นการสื่อสารกับเนื้อเพลงง่าย ๆ แล้วดนตรีมากกว่า

ในฐานะศิลปิน และ Producer มองวงการเพลงไทยปัจจุบันว่ายังไง?
TOYS : ผมอยากให้เราคิดเรื่อง Music Businessลดลงบ้าง ตัดเรื่องมาร์เกตติ้งลงไปบ้าง เราไม่ต้องนึกถึงว่าเราจะทำเพลงนี้ แล้วมันจะขายได้อย่างเดียว คือวงการเพลงต้องการอะไรมากกว่านั้น ผมอยากให้เพลงไทยไปอยู่ในชาร์ทสำคัญ ๆ ของโลก ผมเชื่ออย่างนึงมาโดยตลอดเวลาที่ผมทำเพลงมา เราไม่ได้ฟังแค่เพลง แต่เพลงมันฟังเราด้วย หมายความว่าว่าถ้าเพลงรู้ว่าเราสร้างเพลงขึ้นมาเพื่อนจะมีชื่อเสียง อยากจะมีเงินทองมากมาย ถ้าเพลงรู้ว่าคุณคิดแค่นี้ เพลงมันไม่ดังแน่นอน มันจะมีคนฟังน้อยลงด้วยซ้ำ ลองคิดดู ทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันนะ ถ้าเราแค่อยากให้เพลงมันทำให้ตัวเราดัง เราก็ต้องใส่อะไรที่เขาใส่กัน หรือคิดว่าต้องเอาอะไรมาทำให้เพลงมันขายได้ ถ้าเรามัวแต่คิดแบบนี้กันอยู่ พัฒนาการของเพลงจะไม่ไปไหนเลย จากวันแรกถึงวันนี้ มองการตัดสินใจของตัวเองในเส้นทางดนตรีอย่างไร?
TOYS : ทำให้ผมได้พิสูจน์ให้เห็นว่าถ้าผมเลือกเดินทางนี้ แล้วถ้าผมจะเจ๊ง จะไม่เก่ง ชีวิตผมก็ต้องเจ๊งไป ต้องเป็นอย่างนั้น อาจจะไม่มีคนจำ แต่มันก็จะทำให้ผมรู้ตัวว่าผมไม่เหมาะกับงานด้านนี้ ผมยังไม่เก่งพอ ถึงตอนนั้นจะต้องกลับไปเรียนหรืออะไรก็ทำไป หาอะไรซักอย่างทำ แต่อย่างน้อยตอนนี้มันทำให้ผมได้เห็นว่า โอเคผมอยู่ได้ สำหรับผม ผมว่ามันเป็นการวัดชีวิตของผมเองด้วย ชีวิตเราเกิดมาครั้งเดียว ผมคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเอาเวลาทั้งหมดมาเดินตามเส้นทางที่ใคร ๆ บอกให้เราเดิ

 

ถ้ามีคนที่อยากเป็น Producer แบบทอย เขาต้องทำอะไรบ้าง?
TOYS : ถ้าย้อนกลับไปวันแรกผมก็แค่ทำมันเล่น ๆ เองครับ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่พาผมมาถึงจุดนี้ แต่ถ้าจะถามว่าทำยังไงถึงจะเป็นโปรดิวเซอร์ ผมก็รู้สึกว่าเราจะต้องคอยตั้งคำถามกับสิ่งที่เราจะทำ ตั้งแต่เพลงคืออะไร ทำไมต้องมีเพลงบนโลก ทำไมต้องมีเสียงแบบนี้ มันอาจจะเป็นคำถามที่ดูโง่ ๆ แต่เราจะหาคำตอบมัน พอเราตอบไปเรื่อย ๆ มันก็จะสร้างบทเรียนกับเรา แล้วพอถึงช่วงนึงมันจะมีจุดที่ทำให้รู้สึกเหมือนว่าเราหลุดออกไปอีกโลก

ฝากอะไรถึงคนที่ติดตาม The Toys หน่อย?
TOYS : ก็ขอบคุณทุกคนนะครับ ที่ให้การสนับสนุน หรือฟังเพลงของผม หรือทุก ๆ คนที่ร้องเพลงของผมได้ ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร แต่ผมอยู่ตรงนี้ได้เพราะทุก ๆ คน…

ความประทับใจที่ผู้คนมีต่อทอย ไม่ได้เกิดจากความเป็นทายาทของนักร้องดังในอดีต แต่เกิดจากความมุ่งมั่น ทุ่มเท ในการทำเพลงของเขา ที่ยากจะหาได้จากเด็กหนุ่มในวัยเดียวกัน

ติดตาม THE TOYS ได้ที่
FB : WHAT THE DUCK
FB : THE TOYS
IG : @thetoysthetoysthetoys

“ผมอยากทำอะไรที่มันค้านกับภาพจำของคน อยากเล่น สร้างความประหลาดใจ ทำให้คนรู้สึกว่า ทำไมเราถึงเดาอะไรในตัวทอยไม่ได้เลย”


Credits
Model : Thanwa Boonsungnern [THE TOYS]

Photographer : Patarit Pinyopiphat
Stylist : Jakkaphong Kirdtongkum
MUA & Hair : Sarayut Pengsomya
Fashion Producer : Sunicha Suparat
Photographer’s Assistant : Sithipong Tiyawarakul
DOP : Praweena Fangrew
Text : Thima Maipang

*Special thanks
1.) B
OYPLAIN
2.)
UPPERGROUND