กดปุ่ม PAUSE เพื่อก้าวเดินต่อ :: การขับเคลื่อนจากก้าวที่หยุดนิ่งยาวนานของวง ให้กลับมาด้วยบทเพลงใหม่ กับความรู้สึกที่แสนคิดถึงอีกครั้ง…

    สภาวะสูญญากาศอันหยุดนิ่งยาวนานหลังการจากไปของ โจ้ (อมรินทร์ เหลืองบริบูรณ์) ไม่ได้ทำให้เสียงเพลงที่ Pause วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟ แห่งยุค 90 เงียบงันลงตาม ตรงกันข้ามแม้จะผ่านช่วงเวลายาวนานนับทศวรรษ เพลงของ Pause ก็ยังคงหล่อเลี้ยงหัวใจของคนฟังเพลงรุ่นใหม่ ๆ เป็นอมตะ กินใจ และไม่เคยตกสมัยเลย

    กว่า 20 ปีจากวันแรกเริ่ม นอ เอ และบอส ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พร้อมกับเฟ้นท์ นักร้องนำคนใหม่ที่จะสืบทอดและขับเคลื่อนก้าวที่หยุดนิ่งยาวนานของ Pause

    ให้กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง…

ย้อนกลับไปวันที่เกิดเรื่องกับพี่โจ้ ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับ Pause ?

นอ : คือก่อนหน้านั้นช่วงหนึ่ง มันเป็นช่วงที่เราหมดสัญญากับทางเบเกอรี่มิวสิคพอดี เราเซ็นสัญญาไว้ 3 ปี หรือว่า 30 เพลง ตอนนั้นสัญญามันหมดไปตั้งแต่ชุด Mind แล้ว ที่ทำอัลบัม Rewind ก็ทำกันเป็นอัลบัมพิเศษ มันเป็นช่วงที่เราพักวงกัน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำอะไรพักนึง คือกำลังจะกลับมารวมกัน มาทำกันใหม่พอดี เป็นช่วงที่กลับมาคุยกันว่าเราจะทำกันต่อนะหลังจากแยกกันไปในช่วงที่หมดสัญญา…

บอส คือมันเป็นช่วงที่กำลังเริ่มเพลงใหม่กันแล้วด้วยซ้ำ แต่ว่ายังไม่ได้เซ็นสัญญาอะไรกับใคร ก็มีไปคุย ๆ กับผู้ใหญ่ทางค่าย มีโครงของเพลงใหม่แล้ว เริ่มทำงานกันไปบ้าง อยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่าน ก็พอดีมาเกิดเหตุการณ์ขึ้นซะก่อน ซึ่ง… ตอนนั้น ทำไมพี่โจ้ถึงตัดสินใจแบบนั้น พวกเราเองสามคนก็ไม่มีใครรู้ คือ ณ วันนั้นก็แน่นอนว่ามันก็เป็นความเสียใจที่เกิดขึ้นกับพวกเรา พอหลังจากนั้นก็มานั่งคุยกันว่าจะเอายังไงกันต่อดี ก็ได้ข้อสรุปว่า Pause ก็หยุดเอาไว้แค่นี้ก่อน คือจริง ๆ ณ ความหมายในตอนนั้นมันก็เหมือนกับเลิกไปเลยนั่นแหละ แล้วพอเราสรุปว่าเราจะหยุดเอาไว้ตรงนั้น ทุกคนก็ต้องหาอะไรทำกัน อย่างพี่นอก็มีเล่นให้วงอื่นอยู่บ้างแล้ว T-Bone, 2 Days Ago Kids, เล่นให้พี่โป้ โยคีย์เพลย์บอย อะไรอย่างนี้ พี่เอก็ไปทำให้วงสิบล้อ ผมเองก็ออกมาทำอะไรส่วนตัว ก็หายกันไปเป็นสิบปี

รู้สึกยังไงที่ตอนนั้นจะไม่ได้เล่นด้วยกันอีกแล้ว?

บอส : มันก็เสียดายแหละ คือคนเรามันอยู่ด้วยกันมา 5-6 ปีตั้งแต่ก่อตั้งวง จนถึง ณ วันนึง มันเหมือนกับว่าโดนกระชากของอะไรบางอย่างที่ทำให้เราสูญเสียมันไป แล้วเราก็ไม่มีวันได้มันคืนมาอีก มันแปล๊บตรงนั้นมากกว่า แล้วพอหลังจากที่คุยกัน ว่าเราพอส Pause เอาไว้ที่มีสมาชิก 4 คน ที่มีพี่โจ้อยู่ด้วย คุยกันว่า ถ้า Pause ไม่มีครบ 4 คน ก็น่าจะไม่ใช่ Pause ละ ก็คงจะไม่ทำต่อ หรือถ้ามีมาทำต่อ 3 คนที่เหลือแล้วหาสมาชิกใหม่มา มันก็คงจะไม่ใช่ Pause คงจะเป็นชื่ออื่นตอนนั้นเราคุยกันถึงขั้นนั้นเลย

นอ : ลองนึกย้อนกลับไปดู ขืนเราดันทุรังทำต่อ กระแสต่อต้านจะเยอะกว่า ผมนึกดูตอนนี้ถ้าอยู่ดี ๆ โจ้ตายปั๊ป อีกวัน สองวันเราทำ Pause อีก นักร้องใหม่มาผมว่ามันคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนะ

 

หลังจากนั้นมีคิดบ้างมั้ยว่าจะกลับมารวมตัวกันอีก?

เอ :  พอผ่านช่วงนั้นไปมันเหมือนทุกคนก็มีงานอยู่แล้วครับ ผมก็อยู่สิบล้อ นออยู่ Crescendo ทุกคนก็ดูไปได้ดี ตอนนั้นก็ไม่ค่อยได้เจอกันครับ

นอ : คือผมก็โตขึ้นไปตามอาชีพ ความรู้สึกมันก็เหมือนกับเด็กคนนึงที่จบประถมแล้ว เข้ามัธยม พอสก็คือโรงเรียนประถม ผมจบแล้วก็กลับไปเยี่ยมโรงเรียนบ้างแต่ผมไม่ได้เรียนที่นั่นแล้ว ตอนนั้นเราเข้าเรียนที่ใหม่แล้ว เวลากลับมาแต่ละทีก็เหมือนมาเจอเพื่อนเก่า ความรู้สึกอย่างนั้นนะครับ ไม่ได้เป็นรูปธรรมขนาดนั้น แต่เป็นความรู้สึกเหมือนเราจบจากที่นั่นแล้วเมื่อไม่มีที่ให้เรียนต่อเราก็เดินทางไปเรียนที่อื่น

ในช่วงปีหลัง ๆ กระแสของพอสค่อย ๆ กลับมารู้สึกยังไงที่แฟนเพลงยังให้การสนับสนุน?

นอ :  ดีใจครับ จริง ๆ มันมีเยอะนะเวลาทำ เราก็รู้สึกยินดีที่ส่วนหนึ่งที่เราเคยทำไว้ในอดีตมันอยู่ในใจคน ซึ่งตรงนี้พวกเราก็รู้ตลอดว่ามันอยู่ แต่ ณ ตอนนั้นมันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว ทุกคนก็ต้องเดินทางต่อ

 

หลังผ่านวันเวลาที่ยาวนาน อะไรที่ทำให้พอสกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง?

นอ : มันเริ่มจากกระแสของแฟนเพลง จากคนข้างนอกครับ คือพอมีโอกาสได้มาเล่นร่วมกันบ้างหลัง ๆ มาเจอกัน เวลาเล่นในแต่ละงานมันก็จะมีความคิดถึงกันอยู่แล้ว เวลาย้อนกลับไปเห็นบอส เห็นเอยืนอยู่ข้าง ๆ ผม แล้วมันก็เพราะคนข้างนอกอีกนั่นแหละที่ยังอยากเห็น พยายามที่จะจ้างเรา 3 คนให้ไปเล่นด้วยกัน เพียงแต่ว่าพอไปเล่นด้วยกันแล้วมันไม่มีคนที่จะร้อง ด้วยความที่ไม่มีนักร้องเราก็เลยต้องอาศัยเพื่อนศิลปินมาช่วยร้องเพลงให้ เป็นเอ๊ะ จิรากรบ้าง น้องมาเรียมบ้าง คิววง Flure หรือว่ากั้ง Crescendo ซึ่งมันก็แล้วแต่คิวของเขาเพราะทุกคนก็มีงานประจำ คราวนี้คนที่ลำบากก็คือพวกเราสิ ต้องเปลี่ยนคีย์ตามคนที่จะมาร้อง ภาพที่ออกมามันก็เลยดูเละเทะ Pause กลายเป็นวงอะไรก็ไม่รู้ที่เหมือนวง “แบ็คอัพ” ผมกับทุกคนก็ไม่แฮปปี้ จนกระทั่งเรามีซิงเกิ้ลใหม่ออกมาเมื่อปีที่แล้ว ชื่อ “รักอยู่รอบกาย” เอาเสียงโจ้ที่เคยอัดเอาไว้มาใช้แล้วก็ทำเนื้อร้องเข้าไปใหม่ คราวนี้ก็มีคนเอาเพลงไป Cover กันเยอะเลย มีส่งเข้ามาคุยกับเอว่า ขออนุญาต Cover นะครับ เอก็ตอบไปว่า ดีครับ ส่งมาฟังบ้างนะ ไม่แน่เราอาจจะได้ร่วมงานกัน เขาก็เลยไปลือกันว่า ถ้า Cover บางทีไม่แน่อาจจะได้เป็นนักร้องใหม่ ก็ส่งกันมาเยอะแยะเลย เป็น 200-300 คลิป จากที่ตอนนั้นเราออกเพลงกับ Music Move ตั้งใจว่าจะทำซิงเกิ้ลเพลงแล้วเปลี่ยนคนร้องไปเรื่อย ๆ พอมันเริ่มมีกระแส คุณฟองเบียร์ (ปฏิเวธ อุทัยเฉลิม) กับผมก็คุยกันว่า Pause มันน่าจะเป็นเรื่องเป็นราวได้แล้ว น่าจะเป็นตัวเป็นตนนะ เพราะมันทำอะไรต่อไปได้ง่ายกว่า

แล้วทำไมสุดท้ายถึงได้เฟ้นท์มาอยู่กับวง?

นอ : ก็จากคลิปที่ส่งเข้ามาทั้งหมดนั้นหละครับ เราก็คิดกันว่าถ้าจะมีนักร้องของ Pause คนเลือกก็ต้องเป็นพวกเราเอง ตอนนั้นก็คิดกันง่าย ๆ เลยคือ แต่ละคนก็ไปเลือกกันมา บอสเลือกมาคนนึง ผมเลือกมาคนนึง เอก็ไปเจอเฟ้นท์ แล้วเราก็ออกทัวร์คอนเสิร์ตกันโดยที่มีนักร้อง 3 คน แบ่งกันร้องเพลงคนละ 3 เพลงบ้าง 4 เพลงบ้าง ตอนนั้นยกกันไปเป็นวงใหญ่มีแบ็คอัพอะไรยังกับคาราบาว (หัวเราะ)

บอส : มันเป็นโชคชะตาด้วยครับ ปกติเวลาเราไปเล่นที่ไหนก็จะมีนักร้องไปกัน 3 คน เราก็ดูกันมาเรื่อย ๆ ตอนแรกเลยก็คิดว่า เราทำทีละซิงเกิลแล้วแบ่งให้นักร้องร้องคนละเพลงก็ได้ แล้วค่อยมาดูว่าใครทำได้ดี แต่ก็ยังไม่ได้ทำนะ จนมีอยู่งานนึงที่ไปเล่นคอนเสิร์ตกัน แล้วอีก 2 คนเขาไปไม่ได้ เหลือเฟ้นท์อยู่คนเดียว เราก็มานั่งคุยกับเฟ้นท์ว่า เหลือคนเดียวร้องไหวมั้ย? เพราะโชว์มันยาวทั้งชั่วโมงเลยนะ แล้วเพลงของ Pause มันก็มีเพลงหนัก ๆ ที่ร้องเสียงสูงเยอะ มันก็ต้องวางแผนแล้วหละ แต่วันนั้นเฟ้นท์เขาบอกว่าเขาไหว เขาสู้ มันก็เหมือนเป็นกระแสให้คนที่มาดูวันนั้นคิดว่า Pause เลือกไปแล้วว่าเป็นเฟ้นท์เรียบร้อย ทุกคนก็แห่เข้าใจตรงกันหมด ซึ่งจริง ๆ ในวันนั้นเราก็ดูไปด้วยนะ แล้วก็ตัดสินใจกันในวินาทีสุดท้าย ว่าเฟ้นท์มันได้ ก็เลยกลายเป็นเฟ้นท์

 

สำหรับเฟ้นท์หละครับ ทำไมถึงส่งคลิปไปให้พี่เอ ทำไมเลือก Pause ? 

เฟ้นท์ : ตอนแรกคือผมได้ยินข่าวจากน้องครับ ว่ามีคนส่งคลิปไปให้ Pauseเยอะ ก็มีน้องมาบอก มาถามว่า เห้ยพี่ ไม่ลองส่งไปดูหรอ ผมก็กะจะอัดแล้วก็ส่งไป ก็เลยไล่แอดเฟซบุ๊คพี่ ๆ ทั้ง 3 คนไปหมดเลย ก็มีพี่เอที่ส่ง Inbox กลับมาแล้วเขาก็ส่งเพลงที่ผมเคยทำกับเพื่อนไว้ บอกว่าชอบนะ

“อนาคตสิ่งที่หวังไว้คือเขา(เฟ้นท์) อาจจะแข็งแรงขึ้นในเรื่องของกระแส ในเรื่องตัวตนของเขา Pause ในยุคถัดไปก็ต้องอยู่ที่เขาจะเป็นยังไงด้วย คิดไว้อย่างนั้นนะครับ”

ตอนนั้นคิดมั้ยว่าตัวเองจะกลายเป็นนักร้องนำคนใหม่ของพอส?

เฟ้นท์ : ไม่ได้คิดครับ เราก็ไม่ได้คิด ตอนที่พี่เอทักกลับมาจริง ๆ คิดแค่ว่า “เฟซจริงรึเปล่าวะ” (ทุกคนหัวเราะ)

 

ตอนที่คิดจะส่งคลิปเข้าไป รู้สึกว่าอายุที่ห่างกันจะมีปัญหาบ้างมั้ย?

เฟ้นท์ : ตอนแรกไม่ได้คิดเลยครับ ขอแค่ให้พี่เขาได้ฟังเราก็ดีใจแล้ว ตอนแรกมันตื่นเต้นมากเพราะว่าเป็นวงที่เรารักด้วย

 

การเป็นนักร้องนำคนใหม่ของพอส ยังไงคนก็ต้องมีภาพจำของ “โจ้” กดดันมั้ยกับการมาแทนหน้าที่ตรงนี้

เฟ้นท์ : จริง ๆ ไม่เคยรู้สึกว่ามาแทนเลยนะครับ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักร้องอีกคนนึงมากกว่า ตอนแรก ๆ ที่คนมาว่าในยูทูปก็รู้สึกกดดันเหมือนกัน คือเราไม่เคยโดนมาก่อน ก็จะมีคนมาว่าว่ากระแดะร้องบ้าง ดัดเสียงบ้าง แต่ก็จะรู้สึกดีหน่อยบางทีพี่ ๆ เขาก็ไปช่วยตอบให้เราแทน

นอ : คือหลายครั้งผมก็จะบอกว่า ปัจจุบันนี้วงดนตรีมีเยอะ คือถ้าชอบวงไหนก็เชิญวงอื่นได้ครับ พวกเราก็เป็นแบบนี้แหละ จริง ๆ มันก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้โจ้ด้วย ตอนออกอัลบั้มซิงเกิลแรกก็โดนด่า เขายืนด่าหน้าเวทีเลย เพราะว่าสมัยนั้นมันไม่มีสื่อ สมัยนี้ทุกคนจะเขียนอะไรก็ได้ ไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองเขียนก็ได้ เราไม่รู้ด้วยว่าคนที่เขียนคือใคร

 

คือพี่ ๆ ในวงก็ต้องคอยปกป้องน้องด้วย?

บอส : มันก็ต้องดูแลกัน ในเมื่อเราเลือกเขามาแล้ว เราตัดสินใจว่าจะอยู่ด้วยกันแล้วจะทำงานด้วยกัน เวลาเขาโดนอะไรมาด้วยความที่เขายังเป็นเด็กแล้วเขาใหม่ยัง ไม่เหมือนพวกเรา… จริง ๆ ตอนที่เราเข้ามาใหม่ ๆ เราก็กอดคอร้องไห้กัน เราก็เคย เพราะฉะนั้นเราก็เข้าใจเขาว่า การที่เขาเข้ามาใหม่ ๆ เขาต้องโดนอะไร เราก็พยายามดูแลเขาในฐานะที่เราเป็นพี่

นอ : จริง ๆ มันก็คือการปกป้องพวกผมเองด้วย

การทำงานของ Pause สมัยนี้ เปลี่ยนไปจากเดิมมากมั้ย?

นอ : จริง ๆ เปลี่ยนไปเยอะเลยแหละ เมื่อก่อนเป็นเราสามคนทำงานกันทุกอย่าง ตั้งแต่เป็นเด็กมหาลัย เลิกเรียนไปซ้อมดนตรีกันสามคน โจ้ยังไม่ได้เข้ามาแจมด้วยซ้ำ แล้วปัจจุบันพอสมันใหญ่กว่านั้นเยอะ มันมีองค์กรอะไรค้ำยันเอาไว้ ตอนอยู่เบเกอรี่มิวสิค เขาเป็นค่ายเล็ก ๆ เราแทบจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองหมด แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไป การเดิมพันก็คงสูงกว่าเมื่อก่อน ซึ่งจริง ๆ มันก็ทำให้เราดีใจนะ ว่าสิ่งที่เราทำมันเหมือนมีค่าในคนกลุ่มใหญ่มากกว่าเดิม เรามีค่ายดูแล เรามีทีมงาน มีนักแปลงเพลง คนโน้นคนนี้มาช่วยเรามากขึ้น

บอส : งานเบากว่าเดิมด้วย เพราะสมัยก่อนมันทำทั้งอัลบัม ต้องทำ 9 เพลง 10 เพลง ต้องทำให้ครบก่อนถึงจะเข้าห้องอัดได้  เดี๋ยวนี้มันทำแค่เพลงเดียว คิดมาแค่เพลงเดียว เข้าห้องอัดจบ ไม่กี่วัน ถ่ายเอ็มวี ถ่ายรูปพีอาร์ สมัยก่อนจะพีอาร์นี่ต้องไปด้วยตัวเอง พวกเราเคยนั่งรถตู้หายกันไปเป็นเดือน ไปโปรโมทตามแผงเทป ตามค่ายวิทยุ เดี๋ยวนี้มีอินเทอร์เน็ต มันก็ทำงานง่ายขึ้นมาก

พูดถึงSingle ใหม่ “รักจริงจัง”?

นอ :  ซิงเกิ้ลที่แล้วตอนที่ทำเพลง “แค่ได้เป็นคนสุดท้ายที่เธอคิดถึง” ผมพยายามจะโยงกับ Pauseยุคเก่า เรามี Reference เป็นเพลงสัมพันธ์ในอัลบั้ม Mild แต่พอมาเป็นเพลงนี้เราอยากได้เพลงที่ตั้งใจจะให้เป็น Pause ในยุคใหม่จริง ๆ ก็เลยไม่ได้อิงกับเพลงไหนที่เคยมีมาก่อน ปล่อยให้มันเป็นไปในแบบที่ควรจะเป็น ก็จะเป็นเพลงที่พูดถึงชีวิตในแง่บวก เป็นเพลงด้านสว่างที่ได้คุณฟองเบียร์มาทำเนื้อเพลง กับทำนองให้ ซึ่งมันก็จะดูเป็น Pause แบบใหม่จริง ๆ

 

เป็นเพราะทุกคนเติบโตขึ้นด้วยรึเปล่า Style เพลงของ Pause ก็เลยเติบโตขึ้นด้วย?

นอ : ผมใช้คำว่า “รสมือ” มากกว่า อย่างคนที่เล่นดนตรี 10 ปี 20 ปี 30 ปี รสมือมันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ความชำนาญกับเครื่องดนตรี มุมมองจากคนที่เคยเล่นสนุกก็จะเล่นเซฟขึ้น จากคนที่เป็นแบบนี้จะกลายเป็นแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องปกติของวัย แต่ผมว่ามันหนีตัวตนไม่พ้นหรอก เราเคยเล่นไว้ยังไง สุดท้ายมันก็ไม่ต่างจากเดิมนี่แหละ แต่มันโตขึ้น เป็นระเบียบขึ้น

นับจากวันนี้ อะไรที่เราจะได้เห็นจาก Pause อีกในอนาคต?

เอ : ก็น่าจะได้เห็นเราในงาน Festival ต่าง ๆ มากขึ้นครับ เราจะไปกันให้ครบเลย ทั้ง Rock Festival, Pop, Jazz Festival

บอส : บอกตอนนี้มันก็บอกยากว่าจะเห็นอะไรต่อไปข้างหน้า มันเป็นเรื่องของอนาคต อย่างเมื่อก่อนเราคิดว่าเราชอบร็อค ชุดแรกเราทำร็อค ชุดสองเราออกอวกาศ ชุดสามเป็นอคูสติก แบบฟังง่าย ๆ เลย จะให้บอกไปเลยมันก็ยาก มันอยู่ที่ว่าเราอยากทำอะไรต่อ ณ อนาคตที่จะถึง

นอ : ส่วนตัวผมมันเป็นโอกาสอีกครั้งชองชีวิต ไม่มีใครนึกหรอกว่า Pause มันจะกลับมาได้ เหมือนที่เราพูดกันมาตลอดว่าเรากลับมาอยู่ตรงนี้ได้เพราะกระแสข้างนอกมากกว่า ผมว่ามันควบคุมไม่ได้มาตั้งนานแล้ว ณ ปัจจุบันผมแค่บอกตัวเองว่า ในเมื่อมีโอกาสแล้วก็ทำให้มันดีที่สุด ในเมื่อคนเขาให้โอกาสเราแล้ว ส่วนชุดหน้าจะเป็นยังไงเราก็ยังไม่รู้ สำหรับ Pause ผมเลิกวางแผนไปแล้วทั้งที่ตัวเองเป็นคนที่ชอบวางแผนมาก ผมว่า Pause เองเป็นเหมือนเรือที่ลอยกลางทะเล มีคลื่นลมคอยพามันไปอยู่แล้ว อนาคตสิ่งที่หวังไว้คือเขา (เฟ้นท์) อาจจะแข็งแรงขึ้นในเรื่องของกระแส ในเรื่องตัวตนของเขา Pause ในยุคถัดไปก็ต้องอยู่ที่เขาจะเป็นยังไงด้วย คิดไว้อย่างนั้นนะครับ

ฝากอะไรถึงแฟนเพลงของ Pause หน่อย ?

เอ : ก็ขอบคุณครับที่ฟังวงPauseนะครับ ขอบคุณแทนโจ้ด้วย ที่ชอบโจ้ แล้วก็ฝากติดตามด้วยครับภายหน้าเราก็ยังคงอยู่ แล้วก็พยายามที่จะทำเพลงต่อไปครับ

นอ : ก็ปัจจุบันดนตรีสังคมมันเป็นกลุ่มมากขึ้น เราก็มีกลุ่มของเรานะครับ ผมก็เห็นความสำคัญของกลุ่มแฟนคลับของผม คนที่ชอบเรา ผมว่าเรามาอยู่ตรงนี้ได้เพราะว่ามีคนฟัง ก็ขอขอบคุณทั้งคนที่ติดตามเราตั้งแต่สมัยแรก ๆ เหมือนกันหรือว่าเพิ่งมาชอบใหม่ในปัจจุบัน ขอบคุณนะครับ เจอกันที่ไหนก็ทักทายกันด้วยนะครับ

บอส : ต้องขอบคุณทั้งแฟนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ แฟนรุ่นเก่าก็ขอบคุณที่ติดตามกันมา โดยที่ก็จริงๆแล้วก็ไม่รู้หรอกว่า Pause จะกลับมาทำงานกันใหม่หรือเปล่า แต่เขาก็ยังคอยติดตามกันอยู่เรื่อยๆ ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่ตลอดเวลา ขอบคุณแฟนใหม่ๆที่เพิ่งเข้ามาแล้วก็ติดตามกัน ก็คิดซะว่าพวกเราเป็นวงใหม่ แต่ว่ามีเพลงเก่าที่ทุกคนรู้จักกันอยู่แล้ว ก็อยากจะให้ติดตามกันอีกต่อๆไปครับ

เฟ้นท์ : ก็ต้องขอขอบคุณแฟนเพลงครับ ขอบคุณกระแสคนที่ว่าด้วย คอมเม้นท์ต่าง ๆ พวกนั้นมันก็ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น คือเหมือนแฟนคลับก็เป็นคนเปิดโอกาสด้วยให้ผมมาอยู่กับพี่ ๆ

“ถ้ามีคนถามถึงโจ้ หลาย ๆ คนคงคิดถึงเสียงโจ้ คิดถึงความมหัศจรรย์ คิดถึงผมฟู คิดถึงนักร้องวงพอส ผมไม่ได้สนใจ ผมคิดถึงเพื่อนผม คือ ผมไม่ได้เป็นเพื่อนเขา เพราะเขาร้องเก่ง ต่อให้เขายังอยู่แล้วเขาร้องเพลงไม่ได้ เขาก็ยังคงเป็นเพื่อนผม”

สุดท้ายแล้ว Pause ในฐานะวงดนตรีได้กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ฝากอะไรถึง “โจ้” หน่อย?

เอ : ก็ขอบคุณครับ ขอบคุณโจ้ที่ได้สร้าง Pauseขึ้นมาด้วยกัน ก็ถ้าย้อนกลับไปในช่วงชีวิตที่เราเคยมีเคยทำงานด้วยกันแต่ละช็อตก็มีความสุข มีความทรงจำที่ดี

บอส : เหมือนกันเลย ก็คิดถึง ก็ขอบคุณเหมือนกันที่ร่วมสร้างงานด้วยกันมา ถึงแม้ว่าตอนนี้พี่โจ้เองไม่อยู่แล้ว แต่ว่างานที่เราสร้างมาด้วยกันตั้งแต่ตอนแรกมันก็ยังส่งผลดีให้กับทุก ๆ คนในวงและครอบครัวของพวกเราด้วย ขอบคุณครับ

นอ : ผมก็พูดทุกที่ที่มีโอกาส ถ้ามีคนถามถึงโจ้ หลาย ๆ คนคงคิดถึงเสียงโจ้ คิดถึงความมหัศจรรย์ คิดถึงผมฟู คิดถึงนักร้องวงพอส ผมไม่ได้สนใจ ผมคิดถึงเพื่อนผม คือ ผมไม่ได้เป็นเพื่อนเขา เพราะเขาร้องเก่ง ต่อให้เขายังอยู่แล้วเขาร้องเพลงไม่ได้ เขาก็ยังคงเป็นเพื่อนผม เค้าอาจจะร้องเพลงห่วยขึ้นมาซักวัน ผมก็ไม่สนใจ ผมคิดถึงเพื่อนผม ผมไม่ได้คิดถึงดนตรีของเขา โจ้เป็นเพื่อนที่ดีมาก ๆ คนหนึ่งในชีวิตที่ผมไม่รู้ว่าจะหาแบบนี้ได้อีกเมื่อไหร่ คือเป็นโอกาสดีของชีวิตที่มีเพื่อนคนนี้ ถึงแม้มันจะเป็นช่วงสั้น ๆ แต่ก็มีความประทับใจที่เกิดขึ้นมาเยอะ ผมรู้สึกบางที บางเรื่องผมก็รู้สึก เออกูอาจจะผิดต่อมึงในบางเรื่อง แต่มันก็เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แบบเออทำไมกูไม่สนใจมึงมากกว่านี้วะ ทำไม ทำไม อะไรงี้ครับ แต่ถ้าเกิดยังอยู่แล้วฝากบอกไปถึงได้ วันหนึ่งเราคงเจอกัน แต่ยังไม่ใช่ช่วงนี้นะ กูไม่รีบ(ทุกคนหัวเราะ) มึงเลยไปก่อนเลยอีกนาน แต่เจอกันแน่ ๆ แล้วก็ขอให้สบายดี

เฟ้นท์ : ก็ขอบคุณเสียงพี่โจ้ที่เคยร้องเอาไว้ครับ ทุกครั้งที่ก่อนที่ผมจะขึ้นร้องเพลง ผมก็จะบอกตลอดว่า พี่..ทุกคนมาฟังเพลงที่พี่เคยสร้างไว้นะ ผมก็จะพูดว่าช่วยผมร้องนะพี่ แล้วก็ยิ้มไปด้วยกันครับ ผมก็จะพูดงี้ก่อนขึ้นทุกครั้งเลย

    เสียงเพลง “รักจริงจัง” ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในทันที ยอดคนดูกว่า 1 ล้านภายในระยะเวลาไม่กี่วัน ได้ตอกย้ำว่า Pause ในยุคใหม่ ยังเป็นที่จดจำและชื่นชมจากแฟนเพลงไม่ต่างกัน

[embedyt] http://www.youtube.com/watch?v=p6C8xOe3zCQ[/embedyt]

ติดตามพวกเขาได้ที่
Facebook : PAUSE หรือ ME RECORDS


Credits:
Text : Thima Maipang
Photographer : Sithipong Tiyawarakul