ชวนมาทำความรู้จักกับ TELEx TELEXs วงดนตรีซินธ์ป๊อบสัญชาติไทยจากค่าย Wayfer Records ที่ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการปล่อยซิงเกิ้ลภาษาอังกฤษ I wear this เพื่อเพิ่มโอกาสทางดนตรีให้ไปได้ไกลกว่าเดิมในอนาคต และเรื่องราวระหว่างทางของอัลบั้ม ‘Yes I’m 25 and I’m Single’ ที่อยากให้ทุกคนมั่นใจ และก้าวออกไปเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด
“Yes I’m 25 and I’m Single” Ep. ล่าสุดจาก TELEx TELEXs
ออม: Ep. ล่าสุด ชื่อว่า “Yes I’m 25 and I’m Single” จะเป็นเพลงภาษาอังกฤษ ส่วนตัวเรารู้สึกว่า ภาษาอังกฤษสามารถเล่าได้หลายมุมมากกว่า ด้วยเนื้อภาษา วิธีการใช้เสียง ทำให้เพลงออกมาค่อนข้างให้กำลังใจ ค่อนข้างตรงข้ามกับภาษาไทยเลย มันเป็นการทำลายกำแพงบางอย่างของเราที่ภาษาไทยไม่สามารถสื่อออกมาได้
ปิ้ว: มันเกิดจากการที่เรานั่งคิดว่า ปีนี้จะทำอะไรกันดี ก็คิดว่า ลองทำเพลงภาษาอังกฤษดูไหม เผื่อว่าอัลบั้มนี้จะพาเราไปไหนซักที่
ออม: เผื่อดนตรีจะนำพาเราไปอีกเรื่อยๆ ค่ะ (หัวเราะ)
ทำไมต้องเป็น Yes I’m 25 and I’m single?
ปิ้ว: มันเป็นช่วง ‘เบญจเพศ’ ที่คนไทยเชื่อว่า จะเกิดเรื่องเลวร้าย หรือว่าเรื่องดี มันก็อยู่ที่อายุตรงนี้ เราเลยรู้สึกว่า เพลงในอัลบั้มของเรา มันคาบเกี่ยวในช่วงอายุตรงนั้น ก็เลยกลายเป็น.. ‘ใช่ ฉันอายุ 25 และฉันยังโสดอยู่ด้วย แต่แล้วจะทำไมล่ะ?’
ออม: เราไม่ได้ประชดนะ แต่เราตอบอย่างมั่นใจ อย่างเพื่อนถามว่า ‘มีแฟนยัง’ อายุ 25 แล้วก็ควรจะมีแฟนแล้ว แต่นี่คือ ‘แล้วไง ฉันอายุ 25 แต่ยังโสดอยู่’ ด้วยความที่อายุ 25 มันกำลังจะหมดช่วงเวลาวัยรุ่น และต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองที่เป็นผู้ใหญ่ เพลงในอัลบั้มจะเป็นเพลงที่ให้กำลังใจ อยากให้ทุกคนค้นหาตัวเอง และภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น
แล้วเพลง I wear this ล่ะ มีที่มาจากอะไร?
ออม: ถ้าดูจากเนื้อหาเพลง เราจะพูดว่า ‘ฉันจะแต่งตัวแบบนี้’ ‘ฉันจะใส่กางเกงสีนี้ กับ เสื้อสีนี้’ ‘ทำไมล่ะ ก็ฉันรักในสิ่งที่ฉันเป็น’ เราอยากให้เพลงนี้สื่อว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง ขอแค่คุณรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น ลองรักในสิ่งที่ตัวเองเป็น มันเป็นการให้กำลังใจตัวเองจากข้างในว่า วันนี้ฉันสวย ต่อให้ฉันแต่งตัวแบบไหน ฉันก็สวย วันนี้จะเป็นวันที่ดีของฉัน
ปิ้ว: ถึงแม้จะมีสายตาที่มองมา หาว่าเราแต่งตัวประหลาดก็ตาม แต่มันก็อาจจะมีสายตาที่มองว่า ‘เออ คนนี้แม่งเท่’ เหรียญมันมีสองด้านอยู่แล้ว อย่าไปมองว่ามันมีด้านเดียวตลอดไป อยากให้ทุกคนมองดูหลายๆ ด้าน
การทำงานในอัลบั้มนี้ แตกต่างจากตอนที่ทำเพลงภาษาไทยไหม?
ปิ้ว: ไม่ต่างกันครับ ปกติแล้วจะเริ่มจากผมเป็นคนขึ้นเมโลดี้มาก่อน แล้วก็หาเรื่องราวเกี่ยวกับเพลงว่า เราจะเล่าเรื่องอะไรดี เพลงนี้ควรจะเป็นฟีลนี้ โชคดีที่เรามีเพื่อนที่เขียนบทกวีได้ เราก็เล่าเนื้อหาและคอนเส็ปต์ของเพลงให้เขาฟังประมาณหนึ่ง แล้วเขาก็แต่งเนื้อเป็นภาษาอังกฤษส่งกลับมา พอเราได้เพลง ได้เนื้อมา เราก็มาอัดกันจริงจัง ซึ่งเราก็ได้พี่ปกป้อง จิตดี วง Plastic Plastic เป็นโปรดิวเซอร์ให้เหมือนเดิม
เราเห็นว่ามี 1 เพลงที่ถูกทำขึ้นเป็น 2 ภาษา
ปิ้ว: ช่วงนี้ เราไม่ค่อยเห็นศิลปินในไทย ทำเพลงภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่เป็นเมโลดี้เดียวกัน ก็เลยลองหยิบมาทำดูบ้าง เลยกลายมาเป็นเพลง Rain ซึ่งภาษาไทยกับภาษาอังกฤษจะคนละความหมายกัน แต่มันก็ยังมีดนตรีเดียวกันอยู่
คาแรกเตอร์ในเพลงของ TELEx TELEXs ดูเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่
ออม: จริงๆ แล้ว เราไม่ได้อยากให้เป็นผู้หญิงขนาดนั้นนะ แต่ด้วยความที่คนร้องเป็นผู้หญิง มันก็เลยจะดูเป็นแบบนั้น แต่มันก็มีหลายคนที่เอาเพลงเราไปแทนตัวเอง เราว่าจริงๆ แล้ว คนฟังเพลงเราค่อนข้างทุกเพศทุกวัยนะ เพราะเราไม่ได้พรีเซ้นต์ว่า ตัวเองเป็นผู้หญิงขนาดนั้น มันยังมีความแมนๆ อยู่
ย้อนเวลากลับไป ชีวิตในขวบวัย 25 ปีของแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง?
นาว: ตอนนั้นทำอะไรนะ ..อ๋อเราก็มีวงแล้วไง พึ่งเริ่มทำกัน
ออม: มันเป็นช่วงที่เราทำงานของเราพร้อมกับทำวง แล้วต้องเลือกว่าจะทำอะไรต่อ พอวงเราชัดขึ้น เราก็เลยออกจากงาน มาทำอันนี้เลย ของปิ้วคล้ายๆ กันป่ะ?
ปิ้ว: ตอนนั้นเรียนวิศวะแล้วเราไม่ชอบเลยครับ เราเหมือนอัจฉริยะข้ามคืนจริงๆ นะ ไม่เคยไปเรียนเลย ตอนสอบก็ให้เืพ่อนช่วยติวให้ แล้วก็จบมาได้แบบงงๆ ทุกวันนี้ยังฝันอยู่เลยว่าตัวเองไม่จบ (หัวเราะ) พอจบมาไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี พอดีตอนเรียนเราเล่นดนตรี ทำดนตรีมาตตลอด แล้วรู้สึกว่า ตรงนี้มันคือความสุข มันสนุกเหมือนเล่นเกม เราทำทุกวันเลย มันเหมือนเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด เราก็เลยทำดนตรีมาเรื่อยๆ
ออม: คุณมันอัจฉริยะไง! ..จากที่รู้จักกันมา ปกติเวลาว่างคนอื่นเขาก็เล่นเกม กินข้าว แต่ปิ้วเปิดโปรเจ็กต์ทำเพลงเล่นๆ แล้วก็ส่งมาให้ฟัง แล้วก็ได้เป็นเพลงจริงๆ ด้วยนะ ในคอมมันมีแทร็กเยอะมาก เป็เนหมือนตู้เพลงที่อยากได้แบบไหน ก็สามารถหยิบมาทำได้เลย
ในการเดินทางตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา เห็นความแตกต่างของวงการเพลงยังไงบ้าง
นาว: จริงๆ ช่วงนี้ อินดี้ก็เริ่มเป็นส่วนหนึ่งของคนฟังที่มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ออม: เราว่า ตอนที่เราเริ่มทำวงกัน มันเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลา ณ ตอนนี้ที่มันบูม เราเลยรู้สึกว่าโชคดีที่เข้ามาตั้งแต่เริ่ม จนเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนว่า มันพัฒนากลายเป็นคอมมิวนิตี้ที่ค่อนข้างใหญ่ ใหญ่มากเลยแหล่ะ เราว่าอินดี้มันใหญ่มากเลยนะ แค่มันมีหลายแนวเฉยๆ เราก็เลยมองว่า มันเป็นเรื่องที่ดี ที่คนไทยหันมาฟังวงดนตรีเล็กๆ มากขึ้น เริ่มมอบทางเลือกใหม่ๆ ให้กับตัวเองมากขึ้น มีความชอบที่เฉพาะ ชัดเจนมากขึ้น รู้ว่าฉันชอบเพลงแบบนี้ อินกับสิ่งนี้
ในยุคที่ไม่มีข้อจำกัดด้านแนวเพลง มีอะไรที่วงอยากจะลองทำไหม?
ปิ้ว: ตอนนี้ก็เริ่มทำอะไรที่วาไรตี้มากขึ้น ให้รอติดตามกันดีกว่า ภายในปีนี้ก็คิดว่าจะมีอัลบั้มที่สอง ..ถ้าทันนะ (หัวเราะ)
ออม: เราคิดว่า วงทุกวง พอมีระยะเวลามาประมาณนี้ มันไม่สามารถหยุดกับสิ่งเดิมๆ ได้อยู่แล้ว จริงๆ เพลงของวงในหนึ่งอัลบั้ม มันก็ไม่ได้จำกัดเพลงแค่แนวเดียวอยู่แล้ว แต่มันจะมีกลิ่นอายของความเป็นวงนั้นๆ อยู่ เพื่อขึ้นมาจำกัดประเภทให้วงอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า วงจะเติบโตไปเป็น TELEx TELEXs ในรูปแบบไหน อันนี้ก็ต้องรอดูกันค่ะ
TELEx TELEXs กับการทดลองทำเพลงไกลถึงต่างประเทศ
ปิ้ว: ปีที่แล้ว เราได้ไปทำเพลงกับค่าย Brandnew Music ที่ประเทศเกาหลีใต้
ออม: เราได้ทำเพลงร่วมกับ MC Gree ก็น่ารักมาก ก่อนหน้าที่จะไป เรามองเขาเป็นอีกแบบ เวลาเราอยู่ที่ไทย เราจะรู้สึกว่า ศิลปินเกาหลีถูกวางให้เป็นเซเลปมากๆ แต่พอเราได้เจอเขา กลับกลายเป็นว่า เขาเป็นกันเองมากๆ น่ารัก ปกติเลย เดี๋ยวต้องไปกินข้าว ต้องไปแฮงค์เอ้าท์ต่อ เรารู้สึกว่าเขาก็ไลฟ์สไตล์ปกติ อาจจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารบ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะค่ะ
การแสดงในต่างประเทศ กระแสตอบรับเป็นยังไงบ้าง
ออม: เราเคยไปเล่นที่ไต้หวันกับญี่ปุ่น เป็นงานที่ค่อนข้างใหญ่ เรารู้สึกตื่นเต้นมากเลยนะ ด้วยเนื้อเพลงของเราที่เป็นภาษาไทย 100% เราก็ตกใจเหมือนกันว่า ได้ไปได้ยังไง แต่พอไปถึง เรารู้เลยว่า ภาษามันไม่ใช่กำแพงอย่างที่เราคิดเลย แค่เราสนุก คนดูสนุก แค่นั้นจบ มันไม่ได้ต้องการความเข้าใจด้านภาษาขนาดนั้น ซึ่งคนดูก็น่ารักกับเรามาก แม้เขาจะร้องตามไม่ได้ เขาก็พยายามจะร้องตามเรา เป็นทั้งสองที่เลย เขาช่วยเราตบมือจนจบเพลง เป็นวัฒนธรรมที่แตกต่างจากเวลาเราขึ้นแสดงในประเทศไทย
เริ่มเห็นว่า มีแฟนคลับชาวต่างชาติมาคอนเม้นต์ให้กำลังใจอยู่เหมือนกัน
ออม: ส่วนใหญ่จะตามมาจากที่เราไปเล่นในต่างประเทศ พอเริ่มทำ Ep. ภาษาอังกฤษ มันก็เริ่มกระจายตัวไปเรื่อยๆ ซึ่งเราก็ดีใจ ‘Love from Singapore’ อะไรแบบนี้
สุดท้ายนี้ อยากให้ทุกคนแนะนำ 1 เพลงที่ชอบที่สุดในอัลบั้มให้คนฟังหน่อย
ปิ้ว: ผมเลือกเพลง TELEx TELEXsแล้วกันครับ ตอนแรกเราตั้งชื่อเพลงนี้ว่า New Song เพราะไม่รู้จะตั้งว่าอะไรดี แต่พอฟังไปฟังมา เนื้อหามันเกี่ยวกับการล่าความฝัน มันคล้ายกับตัวเรามากๆ มันมีจิตวิญญาณของพวกเราอยู่ ก็เลยกลายมาเป็นเพลง TELEx TELEXs ของวง TELEx TELEXs ครับ ให้ความรู้สึกเหมือน บัง อาบัง
นาว: ชอบเพลง Rain ทั้งสองเวอร์ชั่นเลยครับ มันมีความแตกต่างกัน อย่างภาษาอังกฤษจะออกแนวปลอบใจ ส่วนภาษาไทยก็จะเป็น TELEx TELEXs มากๆ
ออม: จริงๆ เราก็ชอบทุกเพลงนะ แต่เวลาโชว์เราจะชอบเพลง June เรามีความรู้สึกว่า เพลงนี้เป็นเพลงที่ทำให้เรารู้สึกว่า ฉันได้เป็นผู้หญิงจริงๆ ได้เต้นแบบกรีดกรายหน่อย เพราะเพลงอื่นจะยังมีความเป็นสาวห้าวหน่อย สำหรับเรา เพลงนี้มันดูมุ้งมิ้งที่สุดแล้วค่ะ (หัวเราะ)
ติดตาม TELEXx TELEXs ได้ที่
FB :TELEXx TELEXs, Wayfer Records
IG :telex_telexs
Credits
Text : Nitsanart Nilthongkum
Photographer : Patarit Pinyopiphat