มุมมองความเศร้าของฝ่ายที่ต้องบอกเลิก “DON’T CRY” “หยุดเลยอย่าร้อง” จากวง NAP A LEAN

  จากเชียงใหม่ถึงกรุงเทพ จากปี 2011 ถึงปี 2017 ระยะทางและระยะเวลาเหล่านั้นอาจไม่มากมายเท่ากับระยะทางของความทุ่มเทที่ 4 หนุ่ม โต้ ฮั้ว ดอน และบาส ได้พิสูจน์ผ่านผลงานเพลงป๊อปของพวกเขาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก นำพาวงดนตรีจากเชียงใหม่วงนี้สัมผัสลงไปในดวงใจของคนฟังมากมายทั่วทั้งประเทศ

    วันนี้ Nap A Lean กลับมาอีกครั้ง กับ Single ใหม่ “หยุดเลยอย่าร้อง” (Don’t cry) ที่สะท้อนมุมมองบอกเล่าเรื่องราวความเศร้าของฝ่ายที่ต้องบอกเลิก เพื่อจะนำพาบทเพลงของพวกเขา สัมผัสซ้ำลงไปบนความรู้สึกของคนฟังอีกครั้ง…

วันแรกของ Nap A Lean

โต้ : แรกเริ่มต้องย้อนกลับไปที่เชียงใหม่ครับ ผมกับฮั้วเราเรียนอยู่คนละมหาวิทยาลัย แต่มันเป็นช่วงที่เปลี่ยนจากมัธยมเข้ามหาวิทยาลัยพอดี เราต่างคนต่างแยกย้ายจากวงตอนมัธยม แล้วก็ได้มาเจอกันในร้านอาหารญี่ปุ่นที่ฮั้วทำงานอยู่ คือในเชียงใหม่ตอนนั้นถึงจะไม่รู้จักกัน แต่ก็พอจะรู้ว่าคนนี้เป็นนักดนตรีนะ ก็เลยอัพเดทชีวิตกันว่าเป็นยังไงทำอะไรอยู่ 

ฮั้ว : ตอนนั้นผมทำงานร้านอาหารญี่ปุ่น คือแฟนเก่าของโต้มันชอบมากินที่ร้านผม แล้วก็พาโต้มาด้วย ผมก็เล่าให้ฟังว่ามีเพลงที่แต่งเอาไว้นะ ถ้าไม่มีอะไรทำก็มาลองทำเพลงกันก็ได้ แฟนเก่าโต้ก็เลยเชียร์ว่า เอ้อ… ลองทำกันสองคนเลย เพราะว่ายุคนั้นมันจะมีศิลปินที่เป็นวงดูโอ้เยอะ Sqweez Animal, Scrubb, Singular ก็คุยกัน ผ่านไปอีก4-5 วัน มันกับแฟนก็กลับมาใหม่ วันนั้นที่มันกลับมาอีกรอบ ผมก็เลยเอากีตาร์มาร้องเพลงที่แต่งไว้ให้ฟังเลย ซึ่งเพลงนั้นก็คือซิงเกิ้ลแรกของ Nap A Lean ที่ปล่อยเป็นอินดี้ที่เชียงใหม่ ก็คือร้องในร้านอาหารที่นั่น ณ วันนั้นเลย

โต้ : วันนั้นคือผมไปเร็วครับ ปกติร้านจะเปิดเย็น ในร้านมันยังไม่มีใคร ฮั้วก็เลยไปเอากีตาร์มานั่งเล่นให้ฟัง ผมได้ฟังครั้งแรกก็รู้สึกชอบเลย ผมก็เลยเล่นเพลงของผมกลับคืนไปบ้าง 1 เพลง เป็นการแลกกันฟัง โดยการที่เราไม่ได้ส่งไฟล์เพลง แต่เป็นการสลับกันเล่นสด ๆ เลยในร้านอาหารวันนั้น แล้วฮั้วก็ชอบเพลงผม ผมก็ชอบเพลงฮั้ว ก็เลยตกลงที่จะมาทำเพลงกัน

 

เริ่มทำเพลงกันยังไง?

โต้ : ในเวลานั้นเราทำเพลงจากคอมอะไรไม่เป็นเลยครับ วิธีทำเพลงแบบเดียวที่เรามีก็คือการแจมแบนด์ ผมก็เลยต้องดึงนักดนตรีมาช่วย  ตอนนั้นผมเล่นดนตรีกลางคืนอยู่ ผมก็เลยดึงพี่ดอนที่เป็นมือกลองเล่นดนตรีด้วยกันมาช่วย แล้วผมก็นึกได้ว่าบาสเพื่อนผมตั้งแต่สมัยอนุบาลเล่นเบสอยู่ พอผมกับฮั้วตกลงทำเพลงเรามีแค่กีตาร์กับเนื้อร้อง พอได้สองคนนี้มาเราก็เข้าห้องซ้อมแล้วก็แจมกันเลย แต่เวลานั้นบาสกับพี่ดอนมีวงของตัวเองอยู่แล้ว วง Nap A Lean ตอนนั้นก็เลยถูกตั้งขึ้นโดยที่มีเราแค่ 2 คนก่อน

 

บาสกับดอนเข้ามาเป็นสมาชิกเต็มตัว อะไรเปลี่ยนไปบ้าง?

บาส : จริง ๆ การทำงานมันแทบจะไม่แตกต่างไปจากเดิมเลยครับ มีแค่ช่วงเวลาที่ได้ออกสื่อหรือมีบทบาทเบื้องหน้ามากขึ้น

ดอน :  ที่ผมรู้สึกโชคดีจริง ๆ ก็คือไม่ใช่แค่เรื่องที่ฮั้วกับโต้เลือกเราให้มาอยู่ข้างหน้า แต่มันยังเป็นการทำงานของค่าย Spicy Disc ที่เปิดโอกาสให้เราใส่ไอเดียของเราลงไปได้อย่างอิสระโดยไม่มีการปิดกั้นเลย 

“ศิลปินเวลาเล่าเรื่องเขาก็เล่าเรื่องชีวิตเขาผ่านรูปภาพที่วาด แต่ตอนนี้ผมเป็นคนทำเพลง ผมก็เล่ามันผ่านเพลง” – โต้

แต่ละคนเริ่มชอบดนตรีกันตั้งแต่เมื่อไหร่?

บาส : ตั้งแต่เด็กเลยครับ คือโตมาในบ้านที่พ่อเปิดเพลงในรถ ชอบฟังเพลงเบเกอรี่ยุคเก่า ๆ พอตอนป. 4 ก็เริ่มเอากีตาร์มาหัด แต่คือตอนนั้นมันยังเด็กหนะครับก็จะ โอ๊ย…เจ็บนิ้วจัง โอ๊ย…ไม่เล่นแล้วดีกว่า มาเริ่มจริงจังอีกครั้งตอนม. 4 คือเบสมันไม่ค่อยมีคนเล่น แล้วเราก็รู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่าเสียงดึ๋ง ๆ ก็เลยลองศึกษาดู แล้วก็รู้สึกชอบขึ้นมา

ดอน : คือผมเริ่มเล่นตั้งแต่วงโยตอนเด็ก ๆ เลยครับ เล่นกลองแต๊ก จนพอขึ้นมัธยมก็ได้เจอเพื่อน ๆ ที่ชอบเล่นดนตรีเหมือนกัน ก็เลยตั้งวงกันมาตั้งแต่ม. 1 เล่นกลอง มีเพลงที่ชอบเป็นเพลง RS แรก ๆ พี่เต๋า สมชาย พี่หนุ่ม ศรราม ก็ฟังกับพี่สาว พอโตขึ้นมาหน่อยก็จะบ้าพวก X-Japan,Nirvana,Discipline เป็นเพลงร็อคหน่อย พอม.ปลายก็ มีโอกาสทำวงประกวดฮ็อตเวฟด้วย ชื่อวงว่า Thank You Teacher ครับ (หัวเราะทุกคน)

โต้ : ผมเริ่มชอบดนตรีตอนป. 2 ไปเที่ยวทะเลแล้วก็มีพี่ที่เป็นญาตเขาเล่นกีตาร์ ผมก็เลยอยากเล่นกีตาร์มาตั้งแต่เด็ก จนป.4 น้าผมซื้อกีตาร์ตัวเล็กให้ ก็เลยเริ่มเล่นตั้งแต่นั้น เล่นเพลงของเจมส์เรือศักดิ์ ของอาร์เอส แล้วก็เริ่มฝึกกีตาร์สุดท้ายก็มาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้านดนตรี

ฮั้ว : เด็ก ๆ เป็นนักกีฬาครับ ก็เลยยังไม่ได้สนใจดนตรีมาก มันจะมีช่วงตอนมัธยมมีชั่วโมงชมรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชมรมกีฬา แต่ว่าผมเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนอยู่แล้วเราก็เบื่อ ซึ่งเวลานั้นก็มีอาจารย์ที่จบมาใหม่เขาทำชมรมกีตาร์ เราก็เลยไปเข้า ผมก็รู้สึกว่า มันเจ๋ง มันสนุก แล้วยิ่งเพลงช่วงนั้นวง Clash, Body Slam, แมว จิรศักดิ์ ลาบานูน ปลื้ม ซึ่งส่วนใหญ่มันเป็นเพลงจีบสาว แล้วตอนม.ต้นโรงเรียนผมมันเป็นชายล้วนจะมีพี่ผู้หญิงก็อยู่ม.ปลาย เราก็อยากจะไปจีบพี่ม.4 ก็เลยหัดเล่นกีตาร์ให้เป็น แล้วมันจะมีงานโรงเรียน ต้องมีตัวแทนแต่ละห้องขึ้นไปเล่น ในห้องก็มีผมเล่นกีตาร์เป็นอยู่คนเดียว พอไปเล่นก็ได้รางวัลชนะเลิศมา เราก็คิดว่า “เอาวะ กูต้องมาสายดนตรี” ก็เริ่มรักในดนตรีมาตั้งแต่ตอนนั้นหละครับ

อะไรคือความเป็น Nap A Lean ?

ฮั้ว : ผมว่าอันดับ 1 สำหรับเราเลยคือความเป็น Friendship ครับ Nap A Lean เป็นเหมือนครอบครัว มันทำให้การเล่นที่พวกเราสร้างขึ้นมามันสนุก เหมือนกิจกรรมที่เพื่อนทำด้วยกัน ดนตรีที่ทำก็มีความตามใจกัน เชื่อมโยงกันด้วยความรู้สึก รู้พื้นฐานความคิดของกันและกัน รู้ว่าใครอยากเล่นยังไง เราเรียกแนวเพลงที่สร้างด้วยกันของเราว่า Alternative Pop หรือเพลงป๊อปทางเลือก ซึ่งดนตรีเหล่านี้มันเกิดจากการที่เราเรียบเรียงมันเอง ตามใจกัน ก็เลยเป็นดนตรีทางเลือก คือมันไม่ได้มีสูตรสำเร็จเหมือนเพลงตลาดซะทีเดียว เราเลือกใช้ตามความรู้สึก เป็นการคุยกัน ถ้าเพื่อนชอบเราก็ชอบ ถ้าเพื่อนไม่ชอบเราก็ไม่ชอบ

 

ย้อนกลับไปวันแรกของ Nap A Lean เคยคิดว่าจะได้รับความสำเร็จมากขนาดนี้มั้ย?

โต้ : ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลยครับ คือเชียงใหม่จะมีงานที่พวกวงอินดี้เล่นบ่อย ผมก็อยากไปเล่น แล้วทุกทีที่มีงานวงแต่ละวงก็จะมีเพลงของตัวเอง อย่างพี่ดอนเขาก็มีวงของตัวเองมาก่อน เขาก็มีเพลงของตัวเองไปเล่น ผมก็เลยอยากไปเล่นบ้าง ก็เลยรู้สึกว่าเราก็มีเพลงนี่ เราก็ทำให้มันเสร็จแล้วก็ปล่อยยูทูป จากนั้นก็ไปเล่นตามงานในเชียงใหม่แค่นี้ก็โอเคแล้ว

“แค่ทำเพลงที่พวกเราชอบ เหมือนวันแรกที่โต้มันเดินมาบอกกับผมว่า ร้องเพลงคนอื่นมาเยอะแล้ว  อยากเอาเพลงตัวเองไปร้องให้คนอื่นฟังบ้าง” – ฮั้ว

ถนนสู่กรุงเทพ?

ฮั้ว : ช่วงนั้นมันมีช่วงที่เรียกว่า Bedroom Studio  สำหรับคนที่ทำเพลงที่บ้าน แล้วเราก็ส่งเพลงเข้าไปเปิดในช่วงนี้พอดี ถ้ามันติดชาร์ทอยู่ในช่วง Bedroom แล้วเนี่ย มันก็จะมีการขยับเข้าไปใน New Fat คำว่า New Fat ก็คือจะเข้าไปอยู่ในชาร์ทหลักของแฟทเรดิโอ เราก็ได้ขยับเข้าไปพร้อมกับเพลงวันสบายของวงอภิรมย์ แล้วพอขยับเข้าไปเราก็ยังได้ไต่อันดับขึ้นไปอีก จนเข้าสู่ช่วงท้าย ๆ ของคลื่น Fat Radio เขาจัดงาน The Last Fat Fest ขึ้น เราก็ได้ไปเล่นที่เมืองทอง ซึ่งงานนั้นก็เป็นงานที่เรารู้สึกดีใจมากเลย มันเป็นการเปิดโลก จุดเชื้อเพลิงครั้งใหญ่ เราคิดว่าจะไม่มีใครรู้จักเรา ทำแผ่นอีพีมาขาย 50 แผ่น คิดว่าคงไม่มีใครซื้อหรอก แต่แผ่นขายหมดเร็วมาก วันแรกก็หมดเลย มีคนมาฟังเพลงเราร้องเพลงเราได้ ตอนที่มีคนร้องเพลงได้ยินข่าว มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากเลยครับ จริง ๆ ตอนนั้นสำหรับสายอินดี้แล้ว Fat Radio ก็เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้กับกลุ่มคนทำเพลงมากจริง ๆ

 

แรงบันดาลใจในการทำเพลง?

ฮั้ว : ตั้งแต่เริ่มทำวงกันมา พวกเราเชื่อมั่นจากวัตถุดิบที่มาจากเราเองมากที่สุด เนื้อเพลงที่แต่งเอง ดนตรีที่คิดขึ้นเอง การทำงานแบบนี้มันทำให้เราได้อะไรที่เป็นตัวเองที่สุด คือไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าเพลงที่ทำออกมาแล้วจะต้องนิยามว่าแนวเพลงเป็นแบบไหน แค่ทำเพลงที่พวกเราชอบ เหมือนวันแรกที่โต้มันเดินมาบอกกับผมว่า “ร้องเพลงคนอื่นมาเยอะแล้ว  อยากเอาเพลงตัวเองไปร้องให้คนอื่นฟังบ้าง”

โต้ : เอาจริง ๆ คือเราไม่รู้ด้วยว่ามันคือคำนิยามว่าอะไร รู้แต่ว่าเราชอบแบบนี้เราอยากเล่นแบบนี้ ผมว่าเริ่มแรกมันมาจากที่ตอนเขียนเพลงมันมีเรื่องที่เราไปเจอมา  แล้วเราอยากเล่าให้คนฟัง ศิลปินเวลาเล่าเรื่องเขาก็เล่าเรื่องชีวิตเขาผ่านรูปภาพที่วาด แต่ตอนนี้ผมเป็นคนทำเพลง ผมก็เล่ามันผ่านเพลง ส่วนคนอื่น ๆ ก็จะคอยซัพพอร์ตหรือลีดในบางช่วงเวลาของเพลงโดยการที่ใส่ความเป็นตัวเองลงไป ทั้งพี่ดอน บาส แล้วก็ฮั้ว เพราะฉะนั้นแรงบันดาลใจจริง ๆ ก็คือการบอกเล่าเรื่องของเราให้ออกมาเป็นเพลง

 

แรงบันดาลใจของ “หยุดเลยอย่าร้อง” (Don’t cry)?

ฮั้ว : ถามต้นเรื่องเลยครับ อันนี้เขาเรียกบุคคลต้นเรื่อง(ชี้ไปที่โต้)

โต้ : มันเป็นเพลงที่เล่าเรื่องของคนที่เป็นฝ่ายบอกเลิกนะครับ ซึ่งปกติคนจะมองว่าคนที่บอกเลิกเนี่ยใจร้าย ไม่แคร์อะไรเลย ชีวิตตัวเองก็อยู่สบายเพราะไม่ได้เป็นคนที่ถูกทิ้ง ผมก็เลยหยิบเรื่องนี้มาเล่า ว่าจริง ๆ คนที่บอกเลิกเนี่ยเขาก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าคนที่ถูกบอกเลิกนั่นแหละ “ถ้าความรักมันไปต่อไม่ได้แล้วจริง ๆ มันก็ต้องมีใครคนนึงที่ตัดสินใจจบ” เพลงนี้นอกจากผมกับฮั้วแล้วก็ยังได้พี่บิว เลม่อนซุปมาช่วยจบท่อนฮุคให้ด้วย

ยากมั้ยสำหรับการเป็นวงจากต่างจังหวัดที่จะประสบความสำเร็จ?

โต้ : ถ้าในแง่ของความสำเร็จ การเป็นที่รู้จักผมว่ามันเท่ากันหมดนะครับ จะมาจากที่ไหนก็ยากไม่ต่างกัน ต่อให้อยู่กรุงเทพเองถ้างานยังไม่ดีคนก็คงไม่เสพย์ เพราะสื่อหลักที่คนจะรู้จักก็คือโซเชี่ยล

 

ตอนนี้กลายเป็นไอดอลของหลายคนไปแล้ว ศิลปินไอดอลของแต่ละคนมีใครกันบ้าง?

โต้ : พี่โป้โยคีย์เพลย์บอย พี่วิน Sqweez Animal แล้วก็พี่โต Silly Fools

ฮั้ว : จริง ๆ เราเคยคุยกันว่าจุดร่วมของเราที่เหมือนกันเลยเนี่ยคือวงซิลลี่ฟูล แล้วผมก็ยังมี Coldplay กับพี่ เมธี Moderndog

ดอน : ซิลลี่ฟูลครับ ผมโตมาในยุคนั้นเลย

บาส : สำหรับผมเป็นวงSoul After Sixครับ แล้วก็ ETC เพราะว่าเป็นรุ่นพี่ในคณะ

 

แนะนำเด็กรุ่นใหม่ที่อยากจะทำเพลงหน่อย ?

โต้ : ถ้ามันเริ่มต้นจากความรักในการทำแล้ว ผมว่ายังไงก็ไม่หยุด สิ่งที่สำคัญสำหรับผมในการทำเพลงไม่ใช่เป้าหมายด้วยซ้ำไป มันคือจุดเริ่มต้นแล้วก็ระหว่างทาง

ฮั้ว : ไม่มีใครที่แต่งเพลงได้ดีตลอดหรอกครับ มันต้องมีเพลงดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะบ้างไม่เพราะบ้าง สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง แต่ถ้าทำบ่อยพอและเยอะพอ เพลงที่ดีมันก็จะเกิดมาจากเพลงที่ไม่ดีที่เราเคยทำนั่นแหละ ก็แค่ทำให้มากพอ เหมือนฝึกซ้อมอะครับ คือกว่าจะได้เพลงที่ดีเราอาจจะทำเพลงห่วย ๆ จนเรารู้สึกว่าไม่ภูมิใจในตัวเองเลย ให้ใครฟังต้องอายเขาแน่ ๆ  คือต้องอย่าคิดแบบนี้ แค่ทำไปเรื่อย ๆ สำหรับผมมันมีวิธีคิดในการทำงานแค่ทำ หรือไม่ทำ ไม่มีดีหรือไม่ดี

Nap A Lean มีเพลงที่ทำแล้วไม่ได้ใช้เยอะมั้ย?

ดอน : มีเยอะมากครับ มันเหมือนกับการเปิดไพ่อะครับ เปิดให้หมดเยอะที่สุด เดี๋ยววันนึงเราทำมันให้มากพออย่างที่ฮั้วบอก เดี๋ยวมันก็จะมีเพลงที่ดีโผล่มาเอง

โต้ : ตอนที่เราทำเพลง เราไม่ได้คิดว่าเพลงนี้ต้องออกมาดีแน่นอนนะ แต่เราตั้งใจทำมันไปเลย ถ้าทำแล้วมีความสุขเนี่ย ยังไงก็ทำต่อ

 

ฝากผลงานกับแฟนคลับหน่อย?

โต้ : สำหรับเพลงหยุดเลยอย่าร้องนะครับ ตอนนี้ฟังกันได้แล้ว แล้วก็ฝากแฟน ๆ เข้าไปฟังเพลงเราได้ที่ Chanel ของ Spicy Disc  นะครับผม เพลงหยุดเลยอย่าร้องของ Nap A Lean นะครับ แล้วก็อย่าลืมเข้าไปพูดคุยกันในเพจของ Nap A Lean รวมถึง IG : Nap_a_lean ของวงด้วย

 

บอกอะไรถึงคนที่ติดตามหน่อย?

โต้ : อยากฝากช่องทางนี้เป็นช่องทางสำหรับการขอบคุณนะครับ ตั้งแต่ที่เราทำเพลงมา อย่างที่เราบอกว่าเราไม่ได้คาดหวัง แต่ตอนนี้มันเกินคาดหวัง หลังจากนี้เราก็เลยหวังขึ้นละ(หัวเราะ) ก็ขอบคุณมากครับตั้งแต่แฟนเพลงกลุ่มแรก ๆ แฟนเพลงที่เดินกับเรามาตั้งแต่อยู่เชียงใหม่ บางคนก็อยู่กรุงเทพแต่เชียร์เรามาตั้งแต่อยู่เชียงใหม่ ตอนนี้เราอยู่กรุงเทพแล้วก็เจอคนใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ จากวงที่ไม่มีใครรู้จักก็มีคนรู้จักมากขึ้น มีป้ายไฟบ้างมีนู่นมีนี่บ้างเต็มไปหมด ก็ฝากตรงนี้เป็นช่องทางในการขอบคุณละกันครับ แล้วก็สวัสดีแฟนเพลงใหม่ที่กำลังจะได้เจอกันเร็ว ๆ นี้นะครับ ขอบคุณมากครับ
    สำหรับพวกเขาแล้ว Nap A Lean ไม่ใช่แค่วงดนตรี แต่ยังเป็นเหมือนบ้านและครอบครัว ภายใต้บรรยากาศแบบนั้นเอง มันทำให้การทำดนตรีของพวกเขาตั้งอยู่บนความสุข
[embedyt] http://www.youtube.com/watch?v=lDZGs1t73y0[/embedyt]

ติดตามพวกเขาได้ที่
Facebook : NAP A LEAN หรือ SPICY DISC
IG : Nap_a_lean


Credits:
Photographer : Sithipong Tiyawarakul
Text : Thima Maipang

Special Thanks : SPICY DISC
Youtube : spicydisc

Location : People On Pause Cafe’