เมื่อคนรัก กลายเป็นเพียง “คนรู้จัก” :: จีน กษิดิศ กับบทเพลงบทใหม่ในคำสัมภาษณ์ที่ถูกทำให้จบ

ถ้อยคำในกระดาษ และรูปถ่ายล้วนเป็นส่วนหนึ่งในบทบันทึกอันเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาของผู้คน แต่สำหรับ จีน กษิดิศ สำเนียง แล้ว เรื่องราวในวันและวัยอันเปลี่ยนผ่านนั้น ถูกผนึกเก็บเอาไว้อย่างดีในรูปของบทเพลงที่สะท้อนมุมมองเหตุการณ์ของช่วงเวลาต่าง ๆ แห่งชีวิต ที่ทำให้รู้ว่าเธอเติบโตผ่านกี่รอยยิ้มและหยดน้ำตา

ในวันนี้จีนกลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปจากการผลิตเพลง และ “คนรู้จัก” คือบทบรรเลงบทใหม่ที่จะทำให้คนที่เฝ้ารอจีน ได้หายคิดถึง และซึมซับไปกับความเติบโตในห้วงอารมณ์ดนตรีแห่งเธอ…อะไรคือความฝันวัยเด็กของ “จีน กษิดิศ” ?

ตอนเด็ก ๆ มีความฝันเยอะมาก เราโตมาในบ้านที่ครอบครัวเป็นครูกันหมด แต่ตัวเราเองเป็นคนที่มีความฝันหลากหลาย เป็นคนเยอะ มีความอยากเป็นนักบินอวกาศ พอหลังจากที่พ่อเสียชีวิตก็จะมีความคิด เริ่มมาสนใจว่าเราอยากเป็นหมอ อยากรักษาคน แต่เราเป็นคนที่เกลียดการเรียนวิชาเลขมาก พอเติบโตขึ้นมาก็รู้สึกเบื่อกับสิ่งที่เรียน ก็เลยเลือกที่จะเรียนให้เสร็จ แล้วสอบเทียบเพื่อย้ายมาอยู่กรุงเทพ

ความชอบดนตรีในวัยเด็ก ?

เราจะชอบเสียงเพลงชอบดนตรีเพราะว่าแม่เป็นคนที่ชอบร้องเพลง จะไปร้องเพลงตามงาน แล้วเราก็จะมีความสุขมากถ้าได้ไปฟังเขาร้องเพราะว่าแม่เป็นคนที่ร้องเพลงเพราะมาก ทำให้เราชอบร้องเพลงมาตั้งแต่ตอนนั้น คือไม่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถมั้ย แต่เราจะเป็นเด็กที่มีโอกาสไปประกวดในที่ต่าง ๆ ถูกส่งไปที่นั่นที่นี่เกี่ยวกับการใช้เสียงเยอะมาก จำไม่ได้ว่าฝันอยากจะเป็นนักร้องขนาดนั้นรึเปล่า แต่จำได้ว่ามีเพื่อนเก่าเคยบอกไว้ว่า เราพูดว่า “วันนึงฉันต้องเป็นนักร้องแบบพี่เบิร์ดให้ได้” ตอนที่เราอยู่ประถมปลาย(หัวเราะ)
เริ่มเข้าสู่วงการดนตรีได้ยังไง?

ตอนเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ พอเราเข้ามาแรก ๆ มันจะอยู่ในช่วงสับสน… เหมือนเราจบเร็วด้วย ตอนนั้นอายุแค่ประมาณ 16-17 จะเข้ามหาวิทยาลัยอะไรดี แต่ว่ามันก็จะมีความติสของเราเอง ความปรัชญาอะไรของช่วงเวลาวัยนั้นที่เกี่ยวกับชุด Uniform ที่เราไม่อยากจะตกอยู่ในกรอบนั้นไปหลาย ๆ ปี สุดท้ายก็เลยตัดสินใจที่จะไม่เรียนมหาวิทยาลัย แล้วเราก็ไปทำงานกับ Tower Records ซึ่งเป็นสถานที่ที่เปิดโลกดนตรีให้กับเราเยอะมาก เราได้เห็นว่ามันยังมีอะไรอีกหลายสิ่งหลายแนวในโลกดนตรี แล้วก็ได้ไปทำงานหนังสือ Metro กับ BK ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองเยอะมากเพราะต้องใช้ในการทำงาน ได้ดูแลเนื้อหาด้าน Entertainment Night Life หรือไม่ก็พวกด้านเพลง ทำให้เราได้มีโอกาสฟังและเขียนวิจารณ์เพลงต่าง ๆ ร้านอะไรเปิดใหม่ ดีเจคนไหนกำลังมา การทำงานพวกนี้ก็ทำให้เรามีโอกาสได้เที่ยว รู้จักชีวิตกลางคืน ได้เข้าไปรู้จักกับคนดนตรี แล้วตอนนั้นเป็นช่วงที่เรากำลังอยากทำดนตรีอยู่พอดี กำลังเขียนเพลงของตัวเองขึ้นมาแต่มีปัญหานักดนตรีบางคนเขาก็กลับประเทศ ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เราได้ไปรู้จักพี่บี(ฟูตอง) เป็นดีเจที่เราติดตามมานานแล้ว เขาก็กำลังจะฟอร์มวงจะทำงาน Electro Crash เขา Audition นักร้องกันอยู่ โดยการให้แปลเพลง I Wanna be Your Dog เราก็เลยลองไป แล้วก็เข้าไปร่วมงาน

มองย้อนไปในชีวิตดนตรีอะไรคือเบื้องหลังความสำเร็จของจีน ?

ความอยู่รอด(หัวเราะ) เพราะว่าเรารู้แล้ว่าการออกมาจากงานออฟฟิศ มันคือการเริ่มใหม่จากศูนย์เลย คือเราไม่ได้เป็นคนที่มีความตื่นเต้นกับการทัวร์คอนเสิร์ตเมืองนอก หรือความเป็นร็อคสตาร์ เป็นศิลปินดัง เพราะในความเป็นจริงบางครั้งคือรอดไปได้เป็นวัน ๆ ก็บุญแล้ว อย่างสมัยก่อนเวลาไปเล่นเมืองนอก มันจะมีเรื่องค่าเงินต่าง ๆ ต้องเล่นเยอะมาก ถ้าเราไม่เล่นต่อไปอีก มันก็จะมีคนอื่น ๆ มาแทน ซึ่งมันก็มีความสุขนะแต่ก็มีความกดดันสูง มันไม่ได้สบาย เราไม่ได้เป็นวงใหญ่ หรือศิลปินใหญ่อะไรอย่างนั้น

แบบนี้จำเป็นมั้ยที่ศิลปินต้องสร้างเพลงที่อยู่ในกระแสตลอดเวลา?

เมื่อก่อนเราคิดว่าจะเป็นคนที่ไม่ยอมประนีประนอมกับอะไรเลย เพลงแบบนี้หรอเลี่ยนจะตาย ฉันจะไม่เอา ฉันยอมจน ฟังแล้วจะอ้วก แต่เอาเข้าจริงพอวันนึงก็รู้สึกว่า มันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นนี่หว่าแก เหมือนวัย 20 เป็นวัยแห่งการ Rebel ค้นหา ฉันจะทำเพื่อนฉัน แต่พอ 30 เรารู้สึกว่าอะไรที่พอประนีประนอมได้แล้วเราไม่รู้สึกสูญเสียอะไร ไม่ถึงขั้นที่ทำให้เราตะขิดตะขวงใจ มันก็โอเคเพื่อให้ได้รับความนิยมต้องสูญเสียความเป็นตัวเองมั้ย ?

ความเป็นตัวเองเป็นอะไรที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนนะ เพราะบางทีความเป็นตัวเองมันอยู่ที่ ณ สถานการณ์ใด ณ ตอนไหนมากกว่า สำหรับเรามันก็แค่ Yes and No คือตัดสินใจจากเวลานั้นว่าจะทำหรือไม่ทำมากกว่า

ที่มาของ Single กับเพลง “คนรู้จัก” ?

คือมันเป็นช่วงที่เรากำลังทำเพลงหลายเพลงมาก มีทั้งเพลงแบบ Electro Rock มีเพลงเต้นรำ เพลง 80’s หลาย ๆ แนว แล้วก็มาคิดกันว่าช่วงนี้เราจะปล่อยเพลงอะไรดี โดยเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่เริ่มมาจาก พี่รุ่ง(รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์) แล้วเราก็มาปรับแต่งกันต่อกับพี่แมว The Jukks (ชยานนท์ เครือเอี่ยม) ตัวเพลงมันจะมีอารมณ์แบบความตักเตือน คนกลุ่มที่คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ทุกสิ่งอย่างในตัวต้องเป็น ฉัน ฉัน ฉัน ฉัน ฉัน แล้วก็เป็นการตักเตือนตัวเองอยู่ในทีว่ามันไม่มีอะไรสำคัญขนาดนั้น อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเกินไป เป็นเพลงด่า… บอกเลิกกับคนที่เราคบอยู่ หรือกับเพื่อนฝูงที่เป็นแบบ เราไม่ไหวกับเธอแล้วนะ เพราะฉันเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ แล้วเธอก็เป็นแบบนี้ แล้วคนเรามันก็มีลิมิตของมันเหมือนกันจีนเคยพูดว่าเพลงนี้เป็นภาคต่อของเพลง ร(W8) ทำไมเลือกให้ภาคต่อมาเป็นเพลงนี้?

ตอนที่ทำเพลงนี้เรากดดันมากกับความสวยงามของเพลง ร ซึ่งเราไม่ได้คิดเลยว่าคนจะอินอะไรกันขนาดนั้น  แต่เราก็ลืมไปว่าประชากรส่วนใหญ่ในโลกมันก็จะเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอ ไม่รอ ก็ข้างเดียว คือมันจะมีความไม่จบอยู่ในคาแร็กเตอร์ของแต่ละคน ก็เลยคิดกันเยอะมากว่าฉันจะต้องทำยังไงดี สุดท้ายก็เลยเลือกที่จะทำเพลงนี้ออกมาในรูปแบบของการจบทุกสิ่งทุกอย่าง อาจเป็นเพราะว่าเราไม่ค่อยมีเพลงแบบนี้ด้วยมั้ง ที่มันจบ ๆ จริง ๆ เพลงที่ผ่านมามันก็ไม่ชัดเจน อัลบั้มชุดใหม่ก็เลยอาจจะอยากให้เป็นอารมณ์ที่มันเคลียร์ ๆ

เล่าถึงเนื้อหาใน Music Video กับ นิคกี้ The Face คนรู้จักคนใหม่หน่อย?

นิคกี้(เสียงสูง) นิคกี้เป็นคนที่พยายามจะเล่น ตั้งใจแสดงที่สุด ในซีนต่าง ๆ ส่วนเนื้อเรื่องใน MV เราก็จะเป็นเหมือนคนที่ได้รับมอบหมายให้ไปตักเตือนคนที่ทำผิด(นิคกี้) โดยพี่อาร์ต(อารยา อินทรา) ผู้กำกับก็จะให้เราเป็นตัวดำเนินเรื่อง ซึ่งอาจจะดูเป็นแอนดรอยด์ ต้องมีโกนคิ้วอะไรให้ดูไปในทางนั้น หรือจะเป็นสสาร หรือจะเป็น Spirit ก็ได้ ถึงแม้จะไม่ได้มาจ๊ะเอ๋ ขนาดนั้น คือมันเป็นเหมือนตัวแทนของการยอมรับผิดหนะค่ะ บางทีใครจะทำอะไรเลวร้ายแค่ไหน ถ้าเขามาบอกว่า “ขอโทษ” อะไรหลาย ๆ อย่างมันก็จะดีขึ้นมา ซึ่งนี่ก็เป็นอีกมุมมองนึงที่น่าสนใจในแบบพี่อาร์ต

กำลังจะทยอยปล่อยเพลงใหม่ ๆ ในอัลบั้มออกมาเรื่อย ๆ จะมีอะไรให้เราได้เห็นบ้างในอัลบั้มนี้?

จะได้เห็นเหยื่อรายใหม่ ๆ(หัวเราะ) แล้วก็คงอีกหลายสิ่ง เพราะดนตรีมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก ซึ่งการจะผสมผสานดนตรีมันก็อยู่ที่ความเป็นตัวเรา อยากจะแสดงอะไรที่มันสุด ๆ ไปเลย อย่างฉันจะวีนมากในเพลงสองสามนาทีนี้ เป็น Electro Punk แล้วก็คงมีอีกหลายสิ่งที่แตกต่างไปจากอัลบั้ม Blonde หรือมีกลิ่นอายแบบยุค 80 แต่ก็จะมีบางอย่างที่มาแคลชบ้างากเพลง ร ถึง คนรู้จัก มุมมองความรักของจีน เปลี่ยนไปจากอัลบั้ม Blonde แค่ไหน ?

ชีวิตจริงของเรามันเหมือนปล่อย Single อะไร เราจะอยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ หมดเลย เราจะเอาตัวเองเข้าไปผูกกับ Single นั้น ๆ มันก็จะเป็นเรื่องตลกที่เวลาเพลงออกมา เราจะมีเรื่องราวกับคนนั้นคนนี้ในแบบที่เพลงกำลังบอก แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วเราไม่ได้ยึดติดกับเรื่องความรักมาก สมัยก่อนจะเป็นคนไม่ชอบที่จะเอาตัวเองไปปฏิสัมพันธ์กับใคร เหมือนรู้สึกว่า เกิดมาคนเดียว ก็ต้องรู้จักที่จะซึ้งคนเดียว เศร้าคนเดียว สุขคนเดียว แต่ว่าตอนนี้ก็เหมือนมาเจอคนที่ทำให้เรารู้สึกเปลี่ยนไป เป็น Soulmate ไปอีก สุดท้ายก็เลยรู้สึกว่า “ความสุข” ของความรัก มันอยู่แค่ที่เรายอมเปิดใจรักแค่นั้นเอง เพราะความรักมันก็เป็นความสวยงาม ที่ไม่ควรถูกเก็บเอาไว้ในโลกมืด ๆ

ความผิดพลาดในการ “รู้จัก” สิ่งต่าง ๆ ยังเป็นมุมมองในการสร้างสรรค์บทเพลงอื่น ๆ อีกมั้ย?

มันก็มีแหละ เยอะแยะไปหมด เพลงที่เราเขียนเอง จบเอง มันก็เหมือนเป็น Timeline ชีวิตของเราที่ช่วยบันทึกว่าเราเป็นอะไรในช่วงเวลานั้น เราใช้เพลงเป็นที่ระบายอารมณ์ต่าง ๆ ด้วย บางครั้งอาจจะมีความเป็น Punk Rock สูง เขียนด่าว่าอะไรไปบ้าง บางครั้งพอย้อนมองกลับไปก็จะรู้สึกว่า หรอ… ตอนนั้นมันขนาดนั้นเลยหรอ เพราะว่าเพลงมันก็จะคงอยู่ของมันไป แต่ความทรงจำตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เพลงเก่า ๆ รูปเก่า ๆ ก็อาจจะทำให้เรามองย้อนไปแล้วรู้สึกตลกดี กับข้อผิดพลาดที่เคยมีมา

หมายความว่าแต่ละเพลงของจีน เป็นส่วนหนึ่งในบันทึกความทรงจำ?

ใช่ค่ะ เหมือนว่าในชีวิตจริงเราได้เจอเรื่องอะไรมาแล้วเราเอามาตีแผ่เป็นเพลง เพื่อให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น สำหรับเราดนตรีก็จะถูกใช้ในการบันทึกตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา ผู้คน แล้วก็จะมีโค๊ดลับว่าเพลงนี้เป็นของใคร ซึ่งเราก็ไม่ได้เอาเขาออกมาในที่สว่าง แค่ทำความเข้าใจว่าไม่ว่าเขาจะเป็นอะไรก็ตามแต่ ยอมรับว่าเขาเป็นอย่างนี้ และยอมรับตัวเองว่าอะไรหลาย ๆ อย่างที่เราไม่สามารถทำได้หรือได้มา เช่นความรัก มันเป็นเพราะอะไร เพราะเราเป็นแบบนี้ เรากับเขามีอะไรที่ไม่ตรงกัน ถึงต้องเป็นไปในแบบนั้นจีนดูเป็นศิลปินที่แสดงออกตัวตนอย่างเป็นอิสระมาก ทั้งในด้านเพศ การแต่งกาย และก็มีคนมองจีนในฐานะ Idol ให้คำแนะนำอะไรกับคนที่อาจจะอยากเป็นเหมือนจีน กษิดิศหน่อย?

คือเมื่อก่อนเราจะเป็นคนที่แบบว่า เห้ยทำไมวะ ทำไมต้องแอ๊บ เพราะเราไม่มีปมกับเรื่องนั้นไง ฉันจะเป็นอะไรก็เป็นของฉันไปสิ จริง ๆ แรก ๆ ก็โดนต่อต้านเหมือนกันนะ บางคนก็แบนเราไปเลย หรืออาจจะมีแฟนคลับผู้หญิงมาบอกว่า “โหพี่ทำให้หนูเสียใจมากเลย” ซึ่งเราก็รู้สึกว่า แล้วยังไงวะ ฉันก็ไม่ได้กินหล่อนอยู่ดี แต่จริง ๆ การจะแนะนำใคร มันละเอียดอ่อนมาก คือเราไม่รู้ว่าสิ่งแวดล้อมที่เขาอยู่มันเป็นยังไง ถ้าแนะนำผิดก็เป็นดาบที่ทิ่มแทงใส่เขาอีก การสร้างความมั่นใจให้กับคนคนนึงมันทำได้แหละ แต่ถ้าเราไม่รู้รายละเอียดเขาเลย เราอาจจะทำให้ชีวิตคนพังได้เหมือนกัน จริง ๆ ก็มีเยอะนะคะ น้อง ๆ ที่ถามมา “ทำยังไงดีคะพี่จีน” เราก็จะบอกว่า “หนูต้องจบกับตัวเองให้ได้ก่อน ว่าต้องการอะไร” แล้วก็ไปเคลียร์กับคนรอบข้างตัวเองก่อนให้เขารู้ว่าเราต้องการอะไร แล้วก็มั่นใจกับเส้นทางที่เราจะไป ถ้าเกิดเขาไม่คิดเหมือนเรา เราก็ต้องเข้าใจตรงนั้น แล้วก็มาตัดสินใจว่าจะอยู่กับเพลย์เซฟ อาจจะขมขื่นไปเรื่อย ๆ หรือว่าเธอจะอาจจะแบบลำเค็ญหน่อยในทางกาย แต่ว่าทางใจมันดีกว่า ทุกคนมีทางเลือกบอกอะไรกับคนที่ ร การกลับมาของจีน ?

อย่าคาดหวังอะไรมากนะคะ(หัวเราะ) คนเราไม่ควรคาดหวังอะไรเลยนอกจากตัวเอง แต่เราก็พยายาม และชาเลนจ์ตัวเองตลอด ก็คิดว่าถ้าเพลงมันไม่ดีก็ไม่น่าจะปล่อยออกมา แล้วก็คิดว่าตอนนี้เราได้เห็นอะไรที่มันเคลียร์มากขึ้นออกสู่แสงสว่าง จากการได้ลิ้มรสความมืด นี่ก็เป็นอีกบันทึกนึงของเรา แล้วก็พอเอาเข้าจริง มันก็คือ “เพลง” นี่แหละที่ทำให้เราได้เจอกัน เราเป็นศิลปินความสุขก็คือการได้เล่นต่อหน้าแฟนคลับ ถึงแม้มันจะไม่ใหญ่มาก แต่มันเป็นการส่งพลังงานดี ๆ ระหว่างกัน มันคือการจุดไฟที่ดีมากถึงแม้ว่าวันนั้นจะเบื่อโลกหรืออะไรมาก็ตาม เพลงมันก็ช่วยได้ คนที่มาดูก็ช่วยเยียวยาเรา มันเป็นงานที่โชคดีที่เราได้ทำในสิ่งที่ควบคุมได้ แล้วก็โชคดีไปอีกที่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งมาอยู่ตรงนั้นด้วยกัน ถึงจะมีโมเม้นท์แบบ “เธอต้องร้องไห้เลยหรอ ถามจริง…”(หัวเราะ)

ติดตาม จีน กษิดิศ ได้ที่
FB: Smallroom, Gene Kasidit


Credits
Photographer : Sithipong Tiyawarakul 
Text : Thima Maipang