สีสันและความสนุกสนานที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกจังหวะชีวิตของวง The Dai Dai

สีสันจัดจ้านและความสนุกสนานคือคำที่เราใช้นิยามความเป็น The Dai Dai วงดนตรีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตั้งแต่แนวเพลงไปจนถึงสไตล์การแต่งตัว โดยมีสมาชิกคือ มิ้นท์-ธิติรัตน์ โรจน์แสงรัตน์ (ร้องนำ), โดนัท-ฐิติภัทร สุนทรฐิติ (เบส) และ คามิน-คามิน ภัคดุรงค์ (คีย์บอร์ด, ซินธิไซเซอร์)

กลับมาครั้งนี้ พวกเขาขอส่งเพลง ‘เยเยเย (Single lady)’ มาให้คุณได้โยกย้ายไปดนตรีสนุกๆ โดยมีมิ้นท์และโดนัท รับหน้าที่เป็นตัวแทนเล่าเรื่องราวเบื้องหลังที่ทำให้พวกเขาเป็น The Dai Dai ในวันนี้ 

จุดเริ่มต้นของวง The Dai Dai
มิ้นท์ : จุดเริ่มต้นของวง The Dai Dai เกิดจากมิ้นท์นี่แหล่ะค่ะ มันเริ่มจากมิ้นท์ทำเพลงเดโม่ของตัวเองไปเรื่อยๆ จนมีโอกาสได้ขึ้นคอนเสิร์ต G16 เลยชวนนักดนตรีที่อยู่เบื้องหลังการทำเพลงให้เรามาช่วยกันเล่น ซึ่งพวกเราก็เข้าขากันมาก เรารู้สึกว่าการมีสมาชิกมาเล่นด้วยกัน มันสนุกมาก มันเหมือนกับเราไม่ได้บ้าอยู่คนเดียว เลยลองหาเพื่อนมาจอยด้วย ซึ่งก็ได้โดนัทกับคามิน ซึ่งโดนัทจะเล่นเบส ส่วนคามินจะเล่นคีย์บอร์ดกับซินธิไซเซอร์

แนะนำดนตรีสไตล์ The Dai Dai ให้คนอ่านรู้จักหน่อย
มิ้นท์ : จริงๆ พื้นฐานเราคือดนตรีป๊อปแต่เราเพิ่มสีสัน ลูกเล่นเข้าไป โดยใช้ซาวน์สมัยใหม่
โดนัท : อิเลกทรอนิกส์
มิ้นท์ : ใช่ พวกซินธิไซเซอร์หรืออะไรที่เป็นพวกดนตรีเต้นรำ เพื่อให้มันสนุกสนานขึ้น

 

เสน่ห์ของเสียงซินธิไซเซอร์ที่วง The Dai Dai หลงใหล
มิ้นท์ : เราว่ามันก็เหมือนการแต่งกายเนอะ ทุกคนจะรู้ว่า The Dai Dai มีการแต่งกายที่เยอะและสีๆ ไว้ก่อน มันก็เหมือนการเอาเครื่องประดับมาใส่ให้มันดูไปกับเรา เราคิดว่ามันเหมือนกันนะ เราเอาเสียงสังเคราะห์มาทำให้มันกลมกล่อมมากขึ้น
โดนัท : มันเป็นเสียงสังเคราะห์ที่บางทีเราก็เอาเสียงคล้ายๆ อวกาศมาเป็นเมโลดี้ เป็นคอร์ด มันเป็นสิ่งที่หาจากไม่ได้จากเครื่องดนตรีทั่วไป ฟังแล้วมันดูสมัยใหม่ ล้ำยุคดี

เวลาแสดงสด เสน่ห์เหล่านั้นมันหายไปบ้างไหม?
โดนัท : มันจะมีเสียงสังเคราะห์ที่เราทำเป็น Backing track ควบคู่ไปกับส่วนที่เล่นสดด้วย เพื่อไม่ให้รายละเอิียดหายไป ซึ่งมือคีย์บอร์ดก็จะเลือกไลน์ที่เล่นไว้ซัก 1-2 ไลน์ แต่หลังๆ เราก็พยายามให้มือคีย์บอร์ดเล่นสดซะหลายไลน์นะ เพราะบางทีเกิดปัญหาคอมเปิดไม่ได้ เขาจะได้เล่นต่อเนื่องได้
มิ้นท์ : จริงๆ เวลา The Dai Dai เล่นสด มันจะไม่ได้มีความอิเลกทรอนิกส์เท่าไหร่นะ ถ้าสังเกตดีๆ มันจะมีความไลฟ์อยู่มากๆ ซึ่งแตกต่างจากการฟังจากแผ่น เพราะเราอยากจะเก็บเสน่ห์การไลฟ์ไว้ด้วย
โดนัท : อันนี้มันเป็นเสน่ห์เนอะ ถ้าเราจะฟังมาสเตอร์ เราก็หาฟังได้ทั่วไป แต่เราจะทำยังไงให้การไลฟ์ไม่เหมือนมาสเตอร์มาก มันคือเสน่ห์ของคอนเสิร์ตที่อยากให้มาดูซักครั้ง

ที่มาของเพลง เยเยเย (Single Lady)
มิ้นท์ : เพลง เยเยเย เกี่ยวกับการใช้ชีวิตแบบคนโสด มันแต่งมาจากชีวิตเรา ณ ช่วงนั้น เพราะมันมีช่วงที่เราว่างปุ๊บ เราก็อยากชวนเพื่อนออกไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปขับรถ ไปหาอะไรกิน ซึ่งมันก็มีคำที่ขึ้นมาในหัวว่า Holiday เป็นที่มาของท่อน ‘ไม่ต้องแคร์อะไร It’s my holiday’ มันขึ้นมาก่อนเลย มันมีความอิสระ ไม่ต้องสนใจใคร

เพลง เยเยเย (Single Lady) กับสไตล์ที่เปลี่ยนไปจากเดิม?
มิ้นท์ : จริงๆ เราเป็นวงสนุกอยู่แล้ว
โดนัท : หลายคนอาจจะมองว่าเราเปลี่ยน แต่จริงๆ เราไม่ได้เปลี่ยนนะ เราแค่สนุกมากยิ่งขึ้น
มิ้นท์ : เราแค่อยากทำเพลงสนุก เพลงนี้มันเกิดจากความสนุกจริงๆ บางทีเราแค่อยากเต้นให้ได้มากกว่าที่เต้นอยู่บนเวที เราจึงจำเป็นต้องมีเพลงที่มีจังหวะเต้นรำเยอะมากกว่าเดิม มันเลยเกิดเป็นเพลงนี้ขึ้นมา เราว่าเพลงมันค่อนข้างจะเดือดเลย เราเชื่อว่าใครฟังน่าจะต้องโยกหัวตามโดยไม่รู้ตัวแหล่ะ (หัวเราะ)

การทำเพลงข้ามทวีปของวง The Dai Dai
โดนัท : หลายคนอาจจะเห็นว่า ทำไมมีแค่มิ้นท์กับเรา แล้วคามินไปไหน ออกแล้วหรอ จริงๆ ทุกเพลงที่ฟังมาน่ะ คามินเป็นคนทำทั้งหมดเลย แต่พอดีเขาไปเรียนต่อและทำงานอยู่ที่บอสตันได้ซัก 3 ปีแล้ว เวลาทำเพลงเราจะคุยกันผ่านไลน์ เช่น มิ้นท์ส่งไอเดียที่คิดไว้ไป แล้วคามินก็ไปทำเพลงและส่งกลับมา กระบวนการทำงานมันก็จะมีอุปสรรคบ้างเรื่องเวลาบ้าง เรียนบ้าง หลับบ้าง อะไรแบบนั้น
มิ้นท์ : เราจะเป็นคนบอกเขาว่า เราอยากได้บีทประมาณนี้นะ ความเร็วประมาณนี้ พอคามินส่งดราฟแรกมา เราก็ค่อยมาปรับกันว่าจะเป็นยังไงได้บ้าง พอเราได้โครงกันมาซัก 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว เราถึงจะมาเติมเนื้อเพลงส่วนที่เหลือ

 

ร่วมงานกับปราง-ปรางทิพย์ และ J JAZZSPER เป็นยังไงบ้าง
มิ้นท์ : เราคุยกันว่าเราอยากได้คนที่ร้องสไตล์ลูกทุ่งอีสานมาฟีทเจอริ่งด้วย โดยเราเริ่มจากการร้องไกด์ก่อนว่าท่อนที่เป็นลุกทุ่งอีสานจะเป็นประมาณไหน ด้วยวิธีการร้องในเพลง มันทำให้เรานึกถึงพี่ปราง-ปรางทิพย์ เรารู้สึกว่าสไตล์ของเขามันเหมาะกับเพลงเรา เสร็จปุ๊บ เราอยากได้แรปเปอร์อีก พอมาคิดดูคนที่ได้ทั้งแรปและลูกทุ่ง ณ เวลานั้น มันก็ต้อง J JAZZSPER เราก็เลยลองชวนทั้งสองคนมาทำเพลงด้วยกัน ซึ่งถือว่าเป็นวาสนาของเราเพราะทุกคนตอบตกลงหมด โห แค่คิดก็สนุกแล้วอ่ะ!

 

เพลงว่าสนุกแล้ว พอมาเจอ MV ยิ่งสนุกเข้าไปอีก
มิ้นท์ : เราถามปรางว่า เต้นได้ป่ะ? เพราะเพลงนี้มันต้องเต้นอ่ะ ไม่เต้นไม่ได้ คือเรารู้อยู่แล้วว่าน้องเจเต้นได้ พอปรางบอกว่า สบายมาก! เราจัดเต็มเลย มันจริงจังมากเลยนะ เพราะเราบอกทุกคนไว้ก่อนว่าเราจะมีการซ้อมเต้นนะ ทุกคนก็น่ารักมาก เขาโอเคหมดเลย ซึ่งเพลงนี้เราได้รุ่นพี่ช่วยออกแบบท่าเต้นและมีผู้จัดการวงช่วยกำกับเอ็มวีให้ด้วย
โดนัท : ผู้จัดการวงเราเป็นเพื่อน เป็นทุกอย่างให้กับเรา
มิ้นท์ : เพลงนี้เราทำงานกับเพื่อนที่เรารู้ใจ เขาอยู่ด้วยกับเรามาตั้งแต่เริ่มแรก เขาจะเข้าใจความเป็นเรา มันเป็นการทำงานกันเองจริงๆ แบบที่ไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นยังไง

สไตล์การแต่งตัวแบบ The Dai Dai
มิ้นท์ : อืม.. เราขอให้คำนิยามว่า ‘สี สนุก ตลก แปลก’ ดูแล้วให้ความรู้สึกนั้น มันดูแล้วฮานะ แต่ไม่ใช่ตลกคาเฟ่ มันมีความกวนๆ ใครเห็นก็ต้องรู้สึกว่า.. เอ๊ะ เสื้ออะไรวะ? เราพยายามจะไม่ตัดชุดแล้ว แต่มันไม่ได้จริงๆ เราเยอะนะ เรายอมรับ แต่เราเยอะในแบบที่มันกลมกล่อม (หัวเราะ)
โดนัท : เราเยอะแบบไม่เลอะเทอะป่ะ แต่มันก็เยอะอยู่นะ..
มิ้นท์ : เราก็เลอะเทอะแหล่ะ แต่ว่าเราพยายามคุมให้มันพอดี เราไม่ได้มาสายเรียบง่าย น้อยแต่มาก เรามาสายเยอะแต่เยอะ อย่างพวกเครื่องประดับที่ใช้ในวันถ่ายเอ็มวี มิ้นท์ต้องเอาของที่บ้านมากองเป็นกะสอบๆ เลย เพราะเรามีเยอะมากๆ
โดนัท : อย่างชุดผมก็จะเป็นผ้าหนังที่ใส่ไปไหนไม่ได้.. ร้อน (หัวเราะ)

บทบาทอื่นๆ นอกเหนือจากการร้องเพลง
มิ้นท์ : ทุกวันนี้มีแต่คนถามเราว่า เราไม่ร้องเพลงแล้วหรอ เห็นเราวิ่งอย่างเดียวเลย เราก็งงเหมือนกันว่า เออ.. หรือเราเป็นนักวิ่งวะ แต่ก่อนไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาวิ่ง เพราะรู้สึกว่าวิ่งคนเดียวไม่เห็นสนุกเลย แต่พอเห็นพี่ตูนทำก้าวคนละก้าว เราเลยอยากรู้ว่าการวิ่งมันสนุกยังไง อะไรทำให้คนวิ่งกันได้เป็น 10 กิโลเมตร ก็คิดว่าไปหาคำตอบระหว่างวิ่งดูแล้วกัน พอได้ไปวิ่งก็รู้สึกว่า เออ เราก็ทำได้ว่ะ ถึงจะไม่ได้ดีมาก หลังจากนั้นก็เลยวิ่งมาตลอด อีกอย่างที่ชอบคือ มิ้นท์ชอบทำเสื้อผ้า อย่างเสื้อผ้าที่เห็นในเอ็มวีก็มาจากเสื้อผ้าที่เราทำขาย
โดนัท : มา.. ขายของหน่อยๆ
มิ้นท์ : ชื่อแบรนด์ว่า Dai จริงๆ ก็คือชื่อวงแหล่ะ แต่เราให้เรียกว่าได้ ก็ลองเข้าไปดูที่ Instagram : dai.d.a.i ได้ค่ะ

แล้วโดนัทล่ะ ทำอะไรอยู่บ้าง?
มิ้นท์ : วิ่งไหมเราอ่ะ
โดนัท : วิ่งเปรี้ยว วิ่งราว.. (หัวเราะ) นอกจากเล่นดนตรี ผมก็เป็นครูสอนดนตรี จริงๆ ตอนแรกเราไม่ได้อยากสอนนะ เพราะลำพังพูดก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่เราชอบเวลาเห็นพัฒนาการของเด็กๆ จากไม่รู้เลย นิ้วแข็ง จนเล่นโชว์ได้ มันรู้สึกดีนะ คือเราก็ค่อยๆ สอนโดยวิธีของเรา ไมไ่ด้อิงหลักทฤษฎีอะไรมาก เราเอาประสบการณ์มาใช้มากกว่า เป็นคนชอบใช้วิธีลัด เล่นเกมกดสูตร แต่จริงๆ ก็ชอบเล่นดนตรีมากกว่าสอนนะ (หัวเราะ)
มิ้นท์ : โดนัทชอบขี่มอเตอร์ไซค์ไง
โดนัท : เออ เราชอบขี้บิ๊กไบค์ เราชอบไปไหนมาไหนด้วยมอเตอร์ไซค์ เพราะระหว่างทางเราได้สัมผัสบรรยากาศที่มันต่างจากการขับรถยนต์ได้โดนลม ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ เป็นการท้าลมร้อนที่สนุกดี

แพลนในอนาคตสำหรับวง The Dai Dai
มิ้นท์ : เราก็จะทำเพลงสนุกต่อไปเนอะ
โดนัท : ทั้งเพลงที่ทำเสร็จแล้วและอยู่ในขั้นตอนการทำ มันก็มีแต่เพลงสนุกเยอะมากๆ
มิ้นท์ : แทบจะไม่มีเพลงช้า เพลงเศร้าเลย ก็แอบคิดว่า เราต้องมีบ้างไหม.. แต่ถ้ามันจะเศร้า มันก็คงเศร้าในแบบ The Dai Dai ซึ่งต้องรอดูต่อไปว่าจะเป็นยังไง

ความสำเร็จในการทำเพลงตามแบบฉบับ The Dai Dai
โดนัท : ผมว่าแค่มีคน 1 คน 2 คน ชอบก็โอเคแล้วนะ
มิ้นท์ : ใช่หรอวะ กูเห็นมึงนั่งดูยอดวิวทุกวันเลย.. (หัวเราะ)
โดนัท : ไม่สิ.. แค่คนตบมือ 1 คน เราก็ดีใจแล้ว เราชอบงานเรา ถ้ามีคนชอบกับเราซักคนมันก็โอเคแล้วนะ ..แต่ถ้าถึงซัก 1 ล้านวิว 10 ล้านวิวก็โอเค มันต้องโอเคแล้ว ไหนดูซิ ตอนนี้เท่าไหร่แล้ว?  (หัวเราะ)
มิ้นท์ : เราไม่รู้ว่าคิดเอาเองรึเปล่า แต่เรารู้สึกว่าพอเราทำงานแล้วงานเราดี เราก็ภูมิใจของเราเองว่า เพลงนี้คือสิ่งใหม่ของวงการเพลง พื้นฐานเราเป็นคนชอบอะไรใหม่ๆ เราแค่อยากให้วงการดนตรีมันมีอะไรที่สนุกๆ แปลกใหม่บ้าง หน้าที่ในการส่งงานของเรามันจบสิ้นตั้งแต่ปล่อยเพลงแล้ว เราว่าแค่นั้นคือความสำเร็จแล้วนะ เพราะหน้าที่ของศิลปินคือการสร้างงาน ที่เหลือมันคือการเดินทางที่รอให้คนฟังมาต่อยอด


Credits
Text : Nitsanart Nilthongkum
Photographer : Patarit Pinyopiphat